ปี 2567 ที่ผ่านมา GPSC ได้จัดทำร่างแผนกลยุทธ์และการบริหารจัดการ ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจพลังงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และยังครอบคลุมถึงพันธกิจในการเป็นผู้นำในการพัฒนาไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กลุ่ม ปตท. (PTT Group Decarbonization) ผ่านกลยุทธ์ “4S”
ประกอบด้วย S1 : การสร้างความแข็งแกร่ง ของระบบผลิตและโครงข่าย (Strengthen and Expand the Core) ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตที่มีเสถียรภาพ S2 : การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (Scale-up Green Energy) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
S3 : การพัฒนานวัตกรรมพลังงาน และธุรกิจแห่งอนาคต (S-curve) ที่มุ่งเน้นการใช้ระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงการต่อยอดธุรกิจเชิงนวัตกรรม และ S4 : การให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Shift to Customer-centric Solutions)
ทั้งนี้ GPSC มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2603 ที่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) ของประเทศไทย
โดยในระยะสั้นได้กำหนดจะลดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนลง 10% ภายในปี 2568 และ 35% ภายในปี 2573 และได้แสดงเจตนารมณ์ในการหยุดการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจพลังงานถ่านหิน และมุ่งเน้นขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อรับมือกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
นางสาวสุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์อยู่ราว 7,240 เมกะวัตต์ โดยมีสัดส่วนจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานงานนํ้า อยู่ราว 41% หรือราว 2,968.4 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง สัดส่วน 48% และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน เชื้อเพลิงถ่านหิน ราว 11% รวมกันอยู่ราว 4,271.6 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาประมาณ 6,904 เมกะวัตต์ เป็นในส่วนของพลังงานหมุนเวียนราว 6,654 เมกะวัตต์ และโครงการ ERU เป็นหน่วยผลิตไฟฟ้าประเภทโคเจนเนอเรชั่นที่ใช้กากนํ้ามันเป็นเชื้อเพลิงอีก 250 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2572
ทั้งนี้ เมื่อถึงสิ้นปี 2573 บริษัท จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 14,144 เมกะวัตต์ โดยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียนกว่า 68% หรือประมาณ 9,620 เมกะวัตต์ มาจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สัดส่วน 64 % พลังงานนํ้า 3% พลังงานลม 1% และจากขยะ 0.1% ซึ่งดำเนินงานได้เร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ที่จะมีสัดส่วนกว่า 50%
ส่งผลให้เป็นบริษัทไฟฟ้า 3 อันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสัดส่วนไฟฟ้าสีเขียวมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จะมีสัดส่วนลดลงอยู่ที่ 24% ถ่านหิน เหลือ 6% และกากนํ้ามัน 2%
สำหรับการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ในช่วง 5 ปี (2568-2572) บริษัท จะใช้เงินลงทุนอีกราว 3.45 หมื่นล้านบาท เป็นในส่วนของงบดำเนินงานปกติสัดส่วน 33% หรือราว 11,385 ล้านบาท และงบใช้สำหรับการลงทุนใหม่ราว 67% หรือประมาณ 23,115 ล้านบาท
ทั้งนี้ สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นมานี้ ส่วนใหญ่จะมาจากการเข้าถือหุ้น 42.93 % ในบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท ลิมิเต็ท (AEPL) ในกลุ่มอวาด้า (Avaada Group) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดียที่เปิดดำเนินการแล้ว 5,120 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตตามสัญญาที่มีอยู่ 20,558 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2,083 เมะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนา 13,355 เมกะวัตต์ และ AEPL มีเป้าหมายจะพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ถึง 3 หมื่นเมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนขึ้นตามมาอีก ทั้งนี้นับจากปี 2564 ที่เริ่มเข้าไปลงทุนใน AEPL บริษัท ได้ใช้เงินลทุนไปแล้วราว 2.2 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ในไทย ล่าสุดได้ลงนาม MOU กับเดลต้า ประเทศไทย สำหรับโครงการ 10 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนด COD ในปี 2568-2569 และตั้งเป้า COD รวม 50 เมกะวัตต์ ภายใต้โมเดล Private PPA ภายในปี 2571 นอกจากนี้ GPSC ยังเริ่มจำหน่ายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (I-REC) โดยได้ลงนามสัญญาซื้อขาย 3 ปี กับผู้ผลิตยานยนต์รายหนึ่ง ปริมาณ 25,000 I-REC (~25,000 MWh) อีกด้วย
นางสาวสุกิตตี กล่าวอีกว่า ส่วนการการพัฒนานนวัตกรรม New S-curves บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดประเภท Base Load อื่น ๆ เช่น การใช้เชื้อเพลิงแอมโมเนีย มาผสมร่วมกับถ่านหิน ในสัดส่วน 50% เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังศึกษาการใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์(Carbon Capture and Storage หรือ CCS) รวมถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก( Small Modular Reactor : SMR) ขนาดกำลังผลิต 200-800 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษาความเป็นไปได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะสรุปผลในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
การดำเนินงานดังกล่าวจะช่วยให้สามารถขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้นในระยะยาว และช่วยให้บริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Greenhouse Gas Emissions) ในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง