ทั้งนี้ ณ เวลานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสามารถออกมาประกาศใช้เป็นแผนในการกำหนดทิศทางการจัดหาพลังงานของได้เมื่อใดหลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาร่างแผนพีดีพีใหม่ทั้งหมด นั่นเท่ากับว่าจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ โดยเฉพาะการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า ที่จะต้องใช้การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจมาใช้เป็นฐานในการอ้างอิง ซึ่งการจัดทำร่างแผนพีดีพีที่ผ่านมา ใช้ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 3.1%
ขณะที่ล่าสุดธนาคารโลกได้คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้ จะขยายตัวเพียง 1.8% และในปีหน้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงอีก
การจัดทำร่างแผนพีดีพี ที่มีความล่าช้ามากว่า 2 ปี จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถประกาศได้ภายในต้นปีนี้ ปัญหาคือ นอกจากการเรียกร้องให้มีการทบทวนค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่แล้ว ส่วนหนึ่งก็มีข้อถกเถียงว่า ควรจะมีการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น จากร่างแผนที่กำหนดกำลังการผลิตใหม่ไว้เพียง 24,412 เมกะวัตต์ เมื่อสิ้นสุดแผนปี 2580 ควรที่จะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ให้ได้มากกว่าที่ระบุไว้หรือไม่
โดยมีการยกเหตุผลการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกประกอบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 87% และต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่) ลดลงถึง 85% เช่นกัน
ขณะที่ในไทยพบว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ต่อหน่วย เริ่มถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติ ข้อมูลล่าสุดพบว่า โรงไฟฟ้าใหม่จากพลังงานแสงอาทิตย์คาดการณ์ว่า จะถูกลงกว่า 27% ภายในปี 2573 ในขณะที่โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ก๊าซฯ จะลดลงเพียง 4% และถ่านหินลดลง 6%
นอกจากนี้ ยังมีข้อข้อถกเถียงว่า กำลังการผลิตใหม่ของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ หรือ ไอพีพี กำลังการผลิต 1,400 เมกะวัตต์ ที่กำหนดไว้ในร่างแผนพีดีพี สมควรจะอยู่ในภาคกลางหรือไม่ เมื่อเทียบกับการนำไปก่อสร้างที่ภาคใต้ เนื่องจากปัจจุบันไฟฟ้าของภาคใต้ไม่เพียงพอ เกิดปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มาจากภาคการท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการส่งไฟฟ้าจากภาคตะวันตกของไทยลงไปช่วยเสริมแต่ก็ยังไม่เพียงพอในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ประกอบกับความยาวของสายส่งที่ส่งไฟฟ่าจากจังหวัดราชบุรีลงไป ก็มีค่าความสูญเสียไฟฟ้าเกิดขึ้น อีกทั้งหากเกิดอุบัติเหตุทำให้ระบบส่งไฟฟ้าล่ม ก็จะมีผลต่อไฟฟ้าภาคใต้ดับเป็นวงกว้างได้
หากสามารถกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แทนที่จะเป็นอยู่ในภาคกลาง จะช่วยรักษาความมั่นคงของไฟฟ้าภาคใต้ได้ เนื่องจากมีพื้นที่ก่อสร้างและสายส่งรองรับไว้พร้อมแล้ว
อีกทั้งมีข้อเป็นห่วงว่า ในการจัดทำร่างแผนพีดีพี ที่โดยวางกรอบจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากกว่า 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ในปี 2580 จำเป็นต้องวางแผนให้ดี เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าไม่มีความเสถียร ซึ่งมีตัวอย่างให้เหตุจากเหตุการณ์เกิดไฟฟ้าดับทั้งประเทศของสเปน เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ที่มีการพึ่งพาพลังงานทดแทนกว่า 60% จำเป็นต้องนำมาเป็นกรณีศึกษาและวางมาตรการป้องกันเป็นอย่างดีไม่ให้เกิดขึ้น
ข้อถกเถียงเหล่านี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การจัดทำร่างแผนพีดีพีล่าช้า ซึ่งหากยังไม่มีความชัดเจน ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่มองไม่เห็นว่าทิศทางการจัดหาไฟฟ้าของไทย จะไปทิศทางใด โดยเฉพาะการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน ที่นักลงทุนต้องการไฟฟ้าสีเขียว จะเพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคตหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง