ประเทศกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก มีศักยภาพสูงในการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างมหาศาล โดยสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของโลกในปี 2050 ได้ทั้งหมด หากมีการพัฒนาอย่างจริงจังและเลิกพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในเวลาอันเหมาะสม
นักวิทยาศาสตร์ด้านการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Sven Teske และ Saori Miyake ทำการศึกษาศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนในแต่ละประเทศสมาชิก G20 โดยพิจารณาจากพื้นที่ดินที่มีอยู่ และสภาพแวดล้อมด้านแสงอาทิตย์และลม ก่อนนำมาเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่คาดการณ์ไว้ในปี 2050 ผลการศึกษานี้ถือเป็นงานวิจัยแรกในลักษณะนี้ที่มีการประเมินในระดับ G20 อย่างเป็นระบบ
ผลการศึกษาเผยว่า ประเทศสมาชิก G20 มีพื้นที่ดินที่สามารถพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากถึง 33.6 ล้านตารางกิโลเมตร หรือสามารถพัฒนาโครงการพลังงานลมได้ถึง 31.1 ล้านตารางกิโลเมตร แม้ว่าสภาพภูมิประเทศและศักยภาพของแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้ว G20 มีศักยภาพเพียงพอในการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้กับทั้งโลกภายในปี 2050
ความสำคัญของ G20 ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอยู่ที่บทบาททางเศรษฐกิจและทรัพยากรของกลุ่มประเทศนี้ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรราว 67% ของโลก คิดเป็น 85% ของจีดีพีโลก และมากถึง 75% ของมูลค่าการค้าโลก โดยมีประเทศสมาชิกประกอบด้วย G7 (สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา) รวมถึง ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เม็กซิโก บราซิล และอาร์เจนตินา
ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศ G20 ยังเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนจากภาคพลังงานถึง 87% ของทั้งหมดในแต่ละปี จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการชะลอภาวะโลกร้อน
แม้ว่า G20 จะมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างมาก แต่ความท้าทายสำคัญคือการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในบางประเทศสมาชิก เช่น ออสเตรเลียและแคนาดา ที่แม้จะมีศักยภาพสูงด้านพลังงานสะอาด แต่ยังเป็นผู้ส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ของโลก
การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (net-zero emissions) ภายในปี 2050 จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังต้องควบคู่กับการยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง