net-zero

คาร์บอนเครดิต เครื่องมือสู่ Net Zero ใช้เทคโนโลยีอวกาศ แม่นยำสูง หนุนการตรวจวัด Co2

“ฐานเศรษฐกิจ” จัดงานสัมมนา Road to Net Zero 2025 Thailand Green Action หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ “คาร์บอนเครดิต โอกาสทางธุรกิจและปัจจัยสนับสนุนสู่ Net Zero” ที่จะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนตํ่า

รวมถึงหัวข้อ The​ Big​ Earth​ Data เทคโนโลยีอวกาศเพื่อสำรวจ-วิเคราะห์​คาร์บอนและการพัฒนาศักยภาพพื้นที่ด้าน​ Net​ Zero ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้ดาวเทียมช่วยตรวจวัดปริมาณคาร์บอนฯ

คาร์บอนเครดิตเครื่องมือสู่ Net Zero

นายวิวัฒน์ โฆษิตสกุล กรรมการ สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) และที่ปรึกษาด้านคาร์บอน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ได้ชี้ให้เห็นว่าคาร์บอนเครดิตไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจมหาศาลสำหรับประเทศไทย และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สิน แต่การได้มาต้องมีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างเช่น ค่าใช้จ่ายในการได้มาของคาร์บอนเครดิตอาจจะสูง และอาจไม่คุ้มค่าสำหรับโครงการขนาดเล็ก ความน่าเชื่อถือในคุณภาพของคาร์บอนเครดิตในมุมของผู้ซื้อ ความคาดหวังราคาคาร์บอนเครดิตที่สูงเกินกว่าคุณภาพของโครงการ ความชัดเจนในเรื่องคุณสมบัติของเครดิตที่ใช้ชดเชยตามภาคบังคับ

วิวัฒน์ โฆษิตสกุล กรรมการ สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) และ ที่ปรึกษาด้านคาร์บอน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน

ตลอดจนความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์ในการขายคาร์บอนเครดิต สำหรับองค์กรที่อยู่ภายใต้ภาคบังคับ และ องค์กรที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero ความชัดเจนเกี่ยวกับกติกา สากลและกฏระเบียบของประเทศผู้ซื้อ และความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขของการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยที่ยังมีความยุ่งยากที่ต้องผ่านความเห็นชอบเป็นรายโครงการจากคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

อุปสรรคดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมีการซื้อขายในรูปแบบ Over the Counter (OTC) ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะนับจากปีงบประมาณ 2559 เป็นต้นมา มีปริมาณซื้อขายสะสมอยู่ที่ 3,659,377 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2​eq) คิดเป็นมูลค่า 327,564,890 บาท ขณะที่ปีงบประมาณ 2568 มีปริมาณการซื้อขาย 171,314 tCO2​eq คิดเป็นมูลค่า 23,406,944 บาท มีราคาเฉลี่ยต่อตันอยู่ที่ 136.63 บาท

จากการซื้อขายที่เกิดขึ้น ถูกนำไปชดเชยการปล่อยคาร์บอนขององค์กรแล้ว 2,116,556 tCO2​eq ส่วนที่เหลืออีกราว 1 ล้าน tCO2​eq คาดว่าเป็นการซื้อเก็บไว้เพื่อการเก็งกำไรในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังมีคาร์บอนเครดิตที่เหลืออยู่ในตลาดราว 19,954,347 tCO2​eq ที่ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่า ตลาดคาร์บอนเครดิต หากได้รับการแก้ไข คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนตํ่า อีกทั้งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มความต้องการและราคาของคาร์บอนเครดิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความต้องการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคสมัครใจ จะยังคงมีต่อเนื่อง เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น พระราชบัญญัติโลกร้อน และกลไกอย่าง ETS (Emissions Trading System) หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ในประเทศไทย จะสร้างความต้องการคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

รวมถึงความต้องการใช้เพื่อชดเชยต่อเนื่องหลังปีเป้าหมาย แม้จะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ความต้องการคาร์บอนเครดิตยังคงมีต่อเนื่องในทุกปี

เพื่อรักษาสมดุลของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และความต่อเนื่องของกติกาสากลระหว่างประเทศ ในการพัฒนาและการปรับปรุงกติกาสากลเกี่ยวกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะส่งผลให้ตลาดมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนและการมีส่วนร่วม

ใช้ดาวเทียมตรวจวัดปริมาณ CO2

 ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กล่าวว่า การจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถือเป็นความท้าทายระดับโลก ซึ่งจากรายงานของประเทศ (Thailand’s First Biennial Transparency Report: BTR1) ระบุว่าไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 278 ล้านตัน โดยมีภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 68.9 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วน 17.86 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ โดยในส่วนนี้เป็นการปล่อยจากการปลูกข้าว 33.8 ล้านตัน หรือ 49.1 % ของภาคการเกษตร

 ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA)

ขณะที่ไทยมีพื้นที่สีเขียวรวม 167,781,181 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 52.12% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด และมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนรวม 5,445 MtCO2​e ซึ่งปัจจุบันมีดาวเทียมเกือบ 30 ดวง คอยติดตามการปล่อยค่าก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหลายดวงเป็นของบริษัทเอกชน ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งพื้นที่ที่มีการปล่อยและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์

ล่าสุด GISTDA ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ใช้เทคโนโลยีอวกาศและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Earth Data) เพื่อสำรวจ วิเคราะห์ และติดตามปริมาณคาร์บอน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาพื้นที่สู่เป้าหมาย Net Zero โดยได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถลดค่าใช้จ่ายได้สูงสุดถึง 70% ผ่านการสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียมและระบบอัตโนมัติ เหมาะสำหรับโครงการทุกขนาด ตั้งแต่ไม่กี่ไร่ไปจนถึงหลายล้านเฮกตาร์ ซึ่งช่วยให้สามารถริเริ่มโครงการได้ทั้งในระดับรายย่อยและระดับประเทศ

นอกจากนี้ Carbon Atlas ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายดาวเทียมตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงดาวเทียมสาธารณะ ภาคเอกชน และภารกิจแบบไฮบริด ทำให้ GISTDA สามารถรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการติดตามและประเมินคาร์บอนได้อย่างครอบคลุม และไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน