รวมถึงหัวข้อ The Big Earth Data เทคโนโลยีอวกาศเพื่อสำรวจ-วิเคราะห์คาร์บอนและการพัฒนาศักยภาพพื้นที่ด้าน Net Zero ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้ดาวเทียมช่วยตรวจวัดปริมาณคาร์บอนฯ
นายวิวัฒน์ โฆษิตสกุล กรรมการ สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) และที่ปรึกษาด้านคาร์บอน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ได้ชี้ให้เห็นว่าคาร์บอนเครดิตไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจมหาศาลสำหรับประเทศไทย และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สิน แต่การได้มาต้องมีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างเช่น ค่าใช้จ่ายในการได้มาของคาร์บอนเครดิตอาจจะสูง และอาจไม่คุ้มค่าสำหรับโครงการขนาดเล็ก ความน่าเชื่อถือในคุณภาพของคาร์บอนเครดิตในมุมของผู้ซื้อ ความคาดหวังราคาคาร์บอนเครดิตที่สูงเกินกว่าคุณภาพของโครงการ ความชัดเจนในเรื่องคุณสมบัติของเครดิตที่ใช้ชดเชยตามภาคบังคับ
ตลอดจนความชัดเจนในเรื่องหลักเกณฑ์ในการขายคาร์บอนเครดิต สำหรับองค์กรที่อยู่ภายใต้ภาคบังคับ และ องค์กรที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero ความชัดเจนเกี่ยวกับกติกา สากลและกฏระเบียบของประเทศผู้ซื้อ และความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขของการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยที่ยังมีความยุ่งยากที่ต้องผ่านความเห็นชอบเป็นรายโครงการจากคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
อุปสรรคดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมีการซื้อขายในรูปแบบ Over the Counter (OTC) ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะนับจากปีงบประมาณ 2559 เป็นต้นมา มีปริมาณซื้อขายสะสมอยู่ที่ 3,659,377 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) คิดเป็นมูลค่า 327,564,890 บาท ขณะที่ปีงบประมาณ 2568 มีปริมาณการซื้อขาย 171,314 tCO2eq คิดเป็นมูลค่า 23,406,944 บาท มีราคาเฉลี่ยต่อตันอยู่ที่ 136.63 บาท
จากการซื้อขายที่เกิดขึ้น ถูกนำไปชดเชยการปล่อยคาร์บอนขององค์กรแล้ว 2,116,556 tCO2eq ส่วนที่เหลืออีกราว 1 ล้าน tCO2eq คาดว่าเป็นการซื้อเก็บไว้เพื่อการเก็งกำไรในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังมีคาร์บอนเครดิตที่เหลืออยู่ในตลาดราว 19,954,347 tCO2eq ที่ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่า ตลาดคาร์บอนเครดิต หากได้รับการแก้ไข คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนตํ่า อีกทั้งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มความต้องการและราคาของคาร์บอนเครดิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความต้องการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคสมัครใจ จะยังคงมีต่อเนื่อง เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น พระราชบัญญัติโลกร้อน และกลไกอย่าง ETS (Emissions Trading System) หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ในประเทศไทย จะสร้างความต้องการคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รวมถึงความต้องการใช้เพื่อชดเชยต่อเนื่องหลังปีเป้าหมาย แม้จะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ความต้องการคาร์บอนเครดิตยังคงมีต่อเนื่องในทุกปี
เพื่อรักษาสมดุลของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และความต่อเนื่องของกติกาสากลระหว่างประเทศ ในการพัฒนาและการปรับปรุงกติกาสากลเกี่ยวกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะส่งผลให้ตลาดมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนและการมีส่วนร่วม
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กล่าวว่า การจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถือเป็นความท้าทายระดับโลก ซึ่งจากรายงานของประเทศ (Thailand’s First Biennial Transparency Report: BTR1) ระบุว่าไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 278 ล้านตัน โดยมีภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 68.9 ล้านตัน หรือเป็นสัดส่วน 17.86 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ โดยในส่วนนี้เป็นการปล่อยจากการปลูกข้าว 33.8 ล้านตัน หรือ 49.1 % ของภาคการเกษตร
ขณะที่ไทยมีพื้นที่สีเขียวรวม 167,781,181 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 52.12% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด และมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนรวม 5,445 MtCO2e ซึ่งปัจจุบันมีดาวเทียมเกือบ 30 ดวง คอยติดตามการปล่อยค่าก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหลายดวงเป็นของบริษัทเอกชน ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งพื้นที่ที่มีการปล่อยและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
ล่าสุด GISTDA ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ใช้เทคโนโลยีอวกาศและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Earth Data) เพื่อสำรวจ วิเคราะห์ และติดตามปริมาณคาร์บอน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาพื้นที่สู่เป้าหมาย Net Zero โดยได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถลดค่าใช้จ่ายได้สูงสุดถึง 70% ผ่านการสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียมและระบบอัตโนมัติ เหมาะสำหรับโครงการทุกขนาด ตั้งแต่ไม่กี่ไร่ไปจนถึงหลายล้านเฮกตาร์ ซึ่งช่วยให้สามารถริเริ่มโครงการได้ทั้งในระดับรายย่อยและระดับประเทศ
นอกจากนี้ Carbon Atlas ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายดาวเทียมตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงดาวเทียมสาธารณะ ภาคเอกชน และภารกิจแบบไฮบริด ทำให้ GISTDA สามารถรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการติดตามและประเมินคาร์บอนได้อย่างครอบคลุม และไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง