ในยุคที่ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังเร่งตัวอย่างรวดเร็ว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นโจทย์เร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องตอบสนอง ธุรกิจไทยในทุกอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งปรับตัวสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่เน้นความยั่งยืนมากขึ้น
พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การเร่งเดินหน้าสู่ Net Zero จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ธุรกิจไทยต้องเร่งดำเนินการเพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ”ได้จัดสัมมนา "ROAD TO NET ZERO 2025 : THAILAND GREEN ACTION” เพื่อสะท้อนมุมมองและความก้าวหน้าของผู้นำภาคธุรกิจเอกชนไทยในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero โดยมีผู้นำภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน โลจิสติกส์ สื่อสาร และการเงินเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
ขณะที่ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวในหัวข้อ CPF Journey ยุทธศาสตร์และแผนดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกและยุทธศาสตร์ การลงทุนเทคโนโลยีสีเขียว ว่า CPF ตั้งเป้าสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศถึง 15 ปี และได้เข้าร่วมโครงการ Science Based Targets initiative (SBTi) เพื่อวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานสากล โดยในปี 2023 CPF ได้รับการรับรองจาก SBTi เป็นบริษัทอาหาร-เกษตรรายแรกของโลกที่ถูกเลือกให้เป็นโครงการนำร่องสำหรับกำหนดค่ามาตรฐานด้านการจัดการที่ดินภาคเกษตร
แผน Net Zero ของ CPF ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ โดยในการจัดหาวัตถุดิบ ใช้ระบบ Traceability ครอบคลุมข้าวโพดกว่า 2 ล้านไร่ พร้อมแอปฯ F-Farm เพื่อตรวจสอบที่มาของพืชผลและลดการเผาไร่,พลังงานสะอาด 1 ใน 3 ของพลังงานในโรงงาน ณ ปัจจุบันมาจากพลังงานหมุนเวียน ช่วยลดต้นทุนกว่า 500 ล้านบาท/ปี และลดการปล่อยคาร์บอน 700,000 ตัน
เลิกใช้ถ่านหิน ยกเลิกแล้วใน 13 จาก 17 ประเทศที่บริษัทลงทุน และตั้งเป้ายุติทั้งหมดภายในปี 2030,ระบบโลจิสติกส์ บริษัท เดินหน้าเปลี่ยนรถบริษัททั้งหมดเป็น EV รวมถึงพนักงานทั่วโลกของซีพีเอฟ ทุกคนต้องเข้าใจและร่วมขับเคลื่อนแผน Net Zero
นายประสิทธิ์กล่าวว่า “Net Zero ไม่ใช่ภาระ แต่คือข้อได้เปรียบในการแข่งขัน” โดยเฉพาะในตลาดโลกที่แบรนด์ชั้นนำล้วนยึดมาตรฐาน SBTi เป็นตัวชี้วัดความยั่งยืน ดังนั้นประเทศไทยควรเร่งปรับเป้าหมาย Net Zero ให้ทันกับกระแสโลก ทั้งนี้ CPF ยังเตรียมขยายระบบตรวจสอบย้อนกลับไปยังพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวสาลี เพื่อสร้างความโปร่งใส และลดการบุกรุกป่าในห่วงโซ่การผลิตอาหาร
“ธุรกิจเกษตรไทยคือภาคส่วนที่เปราะบางที่สุดต่อภาวะโลกร้อน แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญที่จะกลายเป็นผู้นำด้าน Net Zero ได้ ถ้าเราปรับตัวทัน” นายประสิทธิ์ กล่าว
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวในหัวข้อ Net Zero Mission บ้านเปลี่ยนโลก ใจความสำคัญระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทเริ่มตระหนักถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยในช่วง 4 เดือนที่บริษัทไม่สามารถขายบ้ายได้ในช่วงนั้น ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบไปด้วย และได้เร่งสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้เสนาฯได้จับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ศึกษาแนวทาง Net Zero ที่เป็นกฎหมายบังคับในญี่ปุ่น พร้อมส่งทีมงานเรียนรู้และพัฒนาโครงการร่วมกับจุฬาฯ ปรับใช้ในบริบทไทยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “เสนา โซลาร์ วิลล์” หมู่บ้านติดโซลาร์รูฟทั้งโครงการ พร้อมตั้งบริษัทติดตั้ง Solar Roof ของตนเอง
โดยตั้งแต่ปี 2565–2568 เสนาขายบ้านไปแล้ว 4,290 ยูนิต ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6,993 ตันต่อปี ซึ่งแนวคิดหลักคือ “รักษ์โลกต้องง่ายและไม่แพง” เพราะหากบ้านสีเขียวมีราคาสูงเกินไป ผู้บริโภคจำนวนมากจะไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้จะมีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม
อีกหนึ่งความริเริ่มคือ โครงการ “เช่า-ออมบ้าน” LIVNEX ร่วมกับ ธอส. เพื่อให้ลูกค้าเริ่มต้นจากการเช่าพร้อมสร้างวินัยการออม ปัจจุบันมีลูกค้าในโครงการประมาณ 1,000 ยูนิต นอกจากนี้ เสนาฯ ยังเปิดตัวแพลตฟอร์ม ZEROBOARD ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคำนวณและแสดงผลคาร์บอนจากญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแบบ Low Carbon
“บ้านเปลี่ยนโลกได้ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด บ้านหนึ่งหลังอาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ทันทีแต่บ้านพันหลังที่คิดต่าง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ถึงเวลาเปลี่ยนมุมมองจากผู้ซื้อบ้านสู่พลเมืองที่ใส่ใจในอนาคต เพราะที่บริษัทการสร้างบ้านไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการชวนทุกคนให้มาร่วมรักษ์โลกได้ง่าย ๆไปด้วยกัน” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Net Zero Action บ้านพลังรักษ์โลก ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มตื่นตัวกับเป้าหมาย Net Zero มากขึ้น โดยแสนสิริตั้งเป้าหมายระยะยาวในการสร้างที่อยู่อาศัยที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) แม้ยังอีก 25 ปี แต่บริษัทมองว่า การลงมือเริ่มต้นวันนี้สำคัญกว่าการรอให้อนาคตชัดเจน
โดยบริษัท ได้เดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดบ้อม โดยเริ่มจากการสร้างต้นแบบบ้านสีเขียวในปี 2566 โดยใช้วัสดุในการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวโดยคัดเลือกวัสดุและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2.การออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความเป็นธรรมชาติและการจัดวาง Landscape 3.การก่อสร้างนวัตกรรมเพื่อโลก (Green Construction) เช่น การใช้วัสดุ Precast ที่ควบคุมคุณภาพง่าย รีไซเคิลได้ และช่วยลดของเสีย
บริษัทยังร่วมมือกับ SCG ในการนำวัสดุก่อสร้างแบบ Low Carbon มาใช้ในโครงการ พร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากขั้นตอนผลิตและก่อสร้าง นอกจากนี้ในด้าน Sustainable Prototype Home แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.Zero Energy Home พบว่า BEC Stimulation ลดลง 83% ซึ่งรวมการใช้พลังงานสะอาดที่มีการวัดการใช้พลังงานหน้างานจริง
2.การใช้วัสดุสีเขียวด้านงานสถาปัตย์ภายในและระบบ คิดเป็น 69.8% และการใช้วัสดุสีเขียวจากงานภายใน คิดเป็น 100%
3.Reduce Carbon Emission คิดเป็น 30% พบว่างานโครงการก่อสร้างและสถาปัตยกรรม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 35%
“จากเป้าหมายของเราในการสู่ Net Zero ในปี 2593 ที่ยังมีเวลาดำเนินการอีก 25 ปี ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนั้นได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามอง คืออย่าไปมองสิ่งเป็นปัจจุบันหรืออดีตมากนัก เราควรมองที่ความเป็นไปได้และอนาคตมากกว่า” นายสมัชชา กล่าว
นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Mobilix กรีนโลจิสติกส์ครบวงจร และอนาคตระบบนิเวศโลจิสติกส์ยานยนต์ไฟฟ้า ว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานอย่างยั่งยืนควบคู่กับการลงทุนในระบบโลจิสติกส์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ
โดยในการจัดการน้ำ WHA ใช้นโยบายรีไซเคิลน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง ทำให้ในปี 2567 สามารถประหยัดน้ำได้เทียบเท่าการใช้น้ำของกว่า 250,000 ครัวเรือน และตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะลดการใช้น้ำเทียบเท่า 700,000 ครัวเรือน เพื่อลดผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ
พลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตพลังงานของบริษัทอยู่ที่ 45% เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วง 7 ปีก่อน ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 70% ภายใน 5 ปี ข้างหน้า เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ส่วนการผลักดัน Commercial EV Ecosystem ครบวงจร WHA มองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในภาคโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งถือเป็นภาคส่วนที่ลดคาร์บอนได้ยาก
บริษัทจึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Commercial EV Ecosystem โดยไม่ผลิตรถเอง แต่เน้นสร้างบริการครบวงจร ดังนี้ EV Fleet as a Service ให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์หลากหลายประเภท รวมถึงรถพนักงาน, Charging Solution ให้บริการสถานีชาร์จทั้งแบบ On-premise (ในพื้นที่ลูกค้า) และ Public Chargingรวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มการบริหารจัดการเรื่องซับซ้อนสำหรับเดินรถ EV เช่นวางแผนการเดินทาง
สำหรับประเทศไทยมีรถบรรทุก 4 ล้อขึ้นไปกว่า 4 ล้านคัน ซึ่งคาดว่าจะทยอยหมดอายุวันละหลายร้อยคันหรือราว 100,000-200,000 คันต่อปี จึงเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดัน EV เข้ามาทดแทน พร้อมตั้งเป้าสร้างธุรกิจ “กรีนที่กินได้” คือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
“WHA เชื่อว่า หากทำถูกจังหวะ ธุรกิจสีเขียวจะไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่คือโอกาสทางธุรกิจระยะยาว”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง