ในงานสัมมนา ROAD TO NET ZERO 2025 : THAILAND GREEN ACTION จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ ( 18 มิ.ย.2568)
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดวิสัยทัศน์ต่ออนาคตสิ่งแวดล้อมและเป้าหมาย Net Zero โดยย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศกำลังกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างหนัก และกลุ่มธุรกิจอาหารจำเป็นต้องปรับตัวเชิงรุกเพื่อความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขัน
“ธุรกิจเกษตรพึ่งพาธรรมชาติสูงมาก การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นเร็วและแรง ทำให้ผลกระทบกลับมายังต้นทางการผลิตอาหารชัดเจนยิ่งขึ้น อาหารยังคงเป็น 1 ใน 4 ปัจจัยสำคัญของมนุษย์ การเดินหน้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด” นายประสิทธิ์ กล่าว
ซีพีเอฟประกาศเป้าหมาย Net Zero ตั้งแต่ปี 2022 แม้เป้าหมายระดับประเทศจะอยู่ที่ปี 2065 แต่ซีพีเอฟตั้งเป้าหมายเร็วกว่า 15 ปี คือภายในปี 2050 พร้อมยื่นเข้าร่วมโครงการ Science Based Targets initiative (SBTi) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดด้านการจัดการคาร์บอนในระดับโลก โดยได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2023
ที่น่าจับตาคือ ซีพีเอฟกลายเป็นบริษัทแรกของโลกในภาคเกษตร-อุตสาหกรรมอาหารที่ SBTi เลือกให้เป็น “โครงการนำร่อง” เพื่อใช้ข้อมูลของบริษัทเป็นมาตรฐานสำหรับกำหนดเกณฑ์ในอนาคต โดยเฉพาะ “ค่าการจัดการที่ดินภาคเกษตร” ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ธุรกิจทั่วไปไม่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ
ทั้งนี้แผนการสู่ Net Zero ของซีพีเอฟครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่
จัดหาวัตถุดิบ : ใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวโพดในไทยกว่า 2 ล้านไร่ พร้อมแอป F-Farm ที่เกษตรกรกว่า 2 หมื่นรายต้องระบุพิกัดแปลงปลูก และใช้ดาวเทียมตรวจสอบการเผาไร่
พลังงานสะอาด : ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของพลังงานที่ใช้ในโรงงานมาจากพลังงานหมุนเวียน ลดต้นทุนปีละกว่า 500 ล้านบาท และลดก๊าซเรือนกระจก 700,000 ตันคาร์บอนต่อปี
เลิกใช้ถ่านหิน : เลิกใช้แล้วใน 13 จาก 17 ประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุน และตั้งเป้ายกเลิกทั้งหมดภายในปี 2030
ระบบโลจิสติกส์ : แผนระยะยาวให้ยานพาหนะทั้งหมดของบริษัทเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
การสื่อสารภายในองค์กร : พนักงานทั่วโลกของ CPF ต้องรับรู้ เข้าใจ และลงมือทำตามแผน Net Zero ร่วมกัน
นายประสิทธิ์ระบุว่า Net Zero จะไม่ใช่ภาระของธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็น “ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน” โดยเฉพาะในตลาดโลกที่ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Nestle และ Tyson Foods ต่างใช้มาตรฐาน SBTi เป็นเครื่องพิสูจน์ความยั่งยืน
“เราไม่ได้ทำ Net Zero เพราะเป็นเทรนด์ แต่เพราะเชื่อมั่นว่ามันจะสร้างโอกาสให้ธุรกิจแข่งขันบนเวทีโลกได้ดีขึ้น ตอนนี้บริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกกำลังระดมทุนหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ถ้าไทยไม่รีบปรับตัว เกษตรกรและธุรกิจของเราจะเสียเปรียบในเวทีโลกแน่นอน”ประสิทธิ์ กล่าว
หลังประสบความสำเร็จจากข้าวโพด ซีพีเอฟเตรียมขยายระบบตรวจสอบย้อนกลับไปยังพืชเศรษฐกิจอื่น อาทิ ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม มันสำปะหลัง และข้าวสาลี ซึ่งทั้งหมดจะต้องใช้แอปฯ เพื่อตรวจสอบแหล่งปลูก ลดการบุกรุกป่าและการเผาในภาคเกษตรไทย
“ธุรกิจเกษตรคือภาคส่วนที่พึ่งพาธรรมชาติมากที่สุด” นายประสิทธิ์กล่าว พร้อมชี้ว่า อุตสาหกรรมเกษตรต้องเผชิญผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากที่สุดเช่นกันด้วยเหตุนี้ ซีพีเอฟจึงเดินหน้ากำหนดเป้าหมาย Net Zero ตั้งแต่ปี 2022 โดยมีเป้าหมายใหญ่ภายในปี 2050 แม้เป้าหมายนี้จะเร็วกว่าเป้าหมายระดับชาติของไทย (ปี 2065) ถึง 15 ปี
“เราเชื่อว่าเป้าหมายระดับประเทศก็จะถูกขยับให้เร็วขึ้นในอนาคต ประเทศไทยเองมีแนวโน้มจะขยับเป้าหมาย Net Zero มาอยู่ที่ปี 2050 เช่นเดียวกับประเทศผู้นำเศรษฐกิจโลก” นายประสิทธิ์ ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง