sustainable

ทูตสวีเดนถอดรหัสความสำเร็จ “สวีเดน” พลังเขียวเปลี่ยนโลก สู่ Net Zero

แอนนา ฮัมมาร์เกรน เปิดวิสัยทัศน์พลังเขียวของสวีเดน “Sweden’s Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน” บนเวที ROAD TO NET ZERO 2025 พร้อมถอดรหัสความสำเร็จจากนวัตกรรมสู่เป้าหมายปลอดคาร์บอน

แอนนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย สะท้อนเจตจำนงของประเทศที่กล้าคิด กล้าทำ และกำลังขับเคลื่อนโลกใบนี้สู่อนาคตสีเขียวอย่างจริงจัง บนเวที ROAD TO NET ZERO 2025 THAILAND GREEN ACTICON จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเรเนซองส์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ โดยได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Sweden's Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน” โดยเผยเบื้องหลังความสำเร็จระดับโลกของสวีเดนในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านความยั่งยืน และเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือภารกิจเร่งด่วนของมนุษยชาติ

 

ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง... แต่มันคือการเลือกอยู่ฝั่งที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์

 

วิกฤตโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่คือความจริงที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว “เรามองเห็นคลื่นความร้อนในยุโรป ภัยแล้งในแอฟริกา และน้ำท่วมในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย นี่คือสิ่งที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่จริงๆ” แอนนา ฮัมมาร์เกรนกล่าว

แม้สวีเดนจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่กลับสร้างผลงานระดับโลกได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดอันดับหนึ่งด้าน Global Sustainability Competitiveness Index และอันดับสองของประเทศเศรษฐกิจนวัตกรรมระดับโลก โดยเฉพาะ “Climate Tech” ของสวีเดนที่มีบริษัทเอกชนกว่า 500 ราย รวมมูลค่ากว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทูตสวีเดนถอดรหัสความสำเร็จ “สวีเดน” พลังเขียวเปลี่ยนโลก สู่ Net Zero

เบื้องหลังความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นผลลัพธ์จากนโยบายที่ต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษ สวีเดนเป็นประเทศแรกของโลกที่ออก พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 1967 และเป็นเจ้าภาพการประชุมสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของสหประชาชาติในปี 1972 ตามมาด้วยการบุกเบิกมาตรการภาษีคาร์บอนในปี 1991 และ Climate Act ในปี 2017 ที่กำหนดให้ทุกกระทรวงต้องดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

หนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นคือ “Fossil Free Sweden” ที่รวบรวมความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้าให้ประเทศปลอดพลังงานฟอสซิลทั้งหมดภายในปี 2045 โดยมีอุตสาหกรรม 22 สาขาที่จัดทำ “Roadmap” ของตนเอง และส่งเสริมความเชื่อมั่นว่า “การปลอดฟอสซิล” คือโอกาสทางการแข่งขัน ไม่ใช่ต้นทุนที่ต้องหลีกเลี่ยง

แอนนาเผยว่า “นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเหล็กในรอบพันปี” แม้ต้นทุนของอุตสาหกรรมจะสูง แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้าปลายน้ำกลับน้อยมาก เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์แบบปลอดคาร์บอนมีราคาสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทูตสวีเดนถอดรหัสความสำเร็จ “สวีเดน” พลังเขียวเปลี่ยนโลก สู่ Net Zero

นอกจากนี้ สวีเดนยังเป็นประเทศที่รีไซเคิลขยะในครัวเรือนได้ถึง 98% และผลิตพลังงานกว่า 98% โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในระดับโลก สวีเดนยังสนับสนุนการเงินด้านสิ่งแวดล้อมผ่านองค์กรต่างๆ เช่น UN, ADB, และ World Bank โดยในปี 2023 เพียงปีเดียว สวีเดนจัดสรรงบพัฒนาเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สวีเดนยังเป็นประธาน UN Green Climate Fund ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประเทศรายได้น้อยและปานกลาง ให้เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และสร้างระบบที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

อีกหนึ่งโมเดลสำคัญที่เธอกล่าวถึงคือ “Quadruple Helix” หรือการจับมือกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล มหาวิทยาลัย และประชาสังคม ซึ่งนำไปสู่โครงการนวัตกรรมที่ล้ำหน้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้าของ Volvo และ Scania ทางหลวงไฟฟ้าแบบชาร์จขณะขับเคลื่อน โรงงานปูนซีเมนต์ดักจับคาร์บอน หรือเทคโนโลยีรีไซเคิลสิ่งทอเพื่อต่อกรกับ Fast Fashion

แอนนายังยกตัวอย่างบริษัทสวีเดนที่ดำเนินธุรกิจในไทย อาทิ Midsummer (แผงโซลาร์เซลล์), Candela (เรือไฟฟ้า), ABB, Siemens Energy, Hitachi Technologies และบริษัทอีกมากที่มุ่งมั่นร่วมเปลี่ยนผ่านพลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทูตสวีเดนถอดรหัสความสำเร็จ “สวีเดน” พลังเขียวเปลี่ยนโลก สู่ Net Zero

สำคัญที่สุดคือ การพิสูจน์ว่า “ความยั่งยืนไม่ได้ขัดแย้งกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ” โดยในช่วงปี 1990–2019 สวีเดนสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 86% ขณะที่ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 30% โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับความสัมพันธ์ไทย-สวีเดน แอนนาย้ำว่าทั้งสองประเทศต่างปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่า 1% ของโลกเท่าๆ กัน และต่างมีพันธกิจมุ่งสู่ Net Zero โดยร่วมมือกันผ่านเวที Sweden-Thailand Sustainable Development Forum ต่อเนื่อง 5 ปี และแพลตฟอร์ม Pioneer the Possible ที่จับคู่ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศเพื่อผลักดันอนาคตที่ยั่งยืน

ในช่วงท้าย แอนนา ฮัมมาร์เกรน ได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน พร้อมชื่นชมทั้งบริษัทจากสวีเดนและไทยที่ต่างพัฒนาโซลูชันและนวัตกรรมอันทรงพลังเพื่อสนับสนุนเส้นทางสู่ Net Zero ของโลก พร้อมประกาศว่า สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม Bangkok Climate Action Week ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงกันยายน-ตุลาคม โดยมุ่งสร้างการรับรู้ในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสาธารณชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนวาระด้านความยั่งยืน