โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง หนึ่งในสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน บริบท นี้ ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับแนวคิด “กรีน” หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งในด้านการออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน การใช้วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน ไปจนถึงการส่งเสริมวิถีชีวิตความเป็นอยู่
ฐานเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน โดยได้จัดงานสัมมนา ROAD TO NET ZERO 2025 THAILAND GREEN ACTION วันที่ 18 มิถุนายน 2568 (ภาคเช้า)ได้รับเกียรติจาก แอนนา ฮัมมาร์เกรน (Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ“Sweden's Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน” และเมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา
ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Sustainable Urban Solutions : Cities of the Futuer โดยมี ภาครัฐและเอกชนร่วมเสนอแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้อง Royal Maneeya Ballroom, M Floor โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับเกียรติจาก บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทแสนสิริจำกัด(มหาชน) ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างยั่งยืน
จุดเปลี่ยนสู่่บ้านรักษ์โลก
ช่วง Green Building อาคารเขียว พลิกโฉมเมืองโตยั่งยืน หัวข้อ "Net Zero Mission บ้านเปลี่ยนโลก" ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการบริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนบนเวทีสัมมนา ROAD TO NET ZERO 2025 THAILAND GREEN ACTION ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญ เกิดจากเหตุการณ์นํ้าท่วมปี 2554 ที่ได้รับผลกระทบ โดยพบว่าช่วงระยะเวลา 4 เดือนไม่สามารถขายบ้าน ขณะคนอยู่อาศัย ได้รับผลกระทบจากนํ้าท่วมมีความยากลำบากซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เสนาได้เรียนรู้
จึงนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญโดยมองว่าเสนาไม่ได้ยิ่งใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนโลกไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กแต่จะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น จุดเริ่มต้นของการรักษ์โลกของเสนาได้ศึกษาบ้านเขียวและจบลงที่เสนาเป็นประกอบการรายแรกและรายเดียวที่ ทำให้ บ้านและคอนโดมิเนียมติดโซลาร์ ทำให้บ้านเป็นมากกว่าการเป็นที่อยู่อาศัย และที่เรียนรู้มากกว่านั้น จุดที่เรายืนโลกมันร้อนไปแล้ว ดังนั้น จึงต้องมีเกราะที่ต้องยึดถือ
ยึด 4 ข้อพัฒนายั่งยืน
ผศ.ดร.เกษรา อธิบายว่า ตามเป้าหมายการพัฒนาระดับโลกที่ยั่งยืนของกลุ่มพัฒนาแห่งสหประชาชาชาติ (UN) SDGs จำนวน 17ข้อ พบว่าบริษัทเลือกมาดำเนินการได้ประมาณ 4 ข้อ ประกอบด้วย ข้อ7. AFFORDABLE AND CLEAN ENERGY สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยา 11.SUSTAINABLE CITIES AND COMMUNITIES สร้างชุมชนที่น่าอยู่ให้ทุกคนรู้สึกถึงความสะดวกสบายและความปลอดภัย 12.RESPONSIBLE CONSUMPTION AND PODUCTION การรับผิดชอบต่อสินค้าที่ผลิตทั้งการส่งมอบและหลังส่งมอบ 13.CLIMATE ACTION รับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ผนึกพาร์ตเนอร์ เดินหน้าNet Zero
ขณะเดียวกับบริษัทได้ลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทประเทศญี่ปุ่น พบว่า การเดินหน้าไปสู่ญี่ปุ่น Net Zero หากไม่ทำถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายอีกทั้งต้องเสียค่าปรับด้วย แต่ถ้าสามารถดำเนินการได้จะได้รับประโยชน์จากการเดินรับเงินคืนจากภาครัฐ โดยบริษัทได้ส่งทีมงานไปเรียนรู้งานกับเขาเพื่อนำมาพัฒนาในองค์กรร่วมกับสถาบันจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย โดยปรับให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคสามารถขายได้
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวหมู่บ้านเสนาโซลาร์รายแรกที่ติดโซลาร์ทุกหลังในโครงการพร้อมเปิดบริษัททำ Solar Roof โดยในปี 2565-2568 ผ่านแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์พบว่าบริษัทได้ขายบ้านไปแล้ว จำนวน 42 โครงการ รวม 4,290 ยูนิต พบว่ามกระบวนการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกแล้ว 6,993 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
“เมื่อไรก็ตามที่เราทำบ้านสีเขียวและตั้งราคาบ้านแพงเกินกว่าปกติคงไม่มีใครซื้อ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักษ์โลก แต่เมื่อไรที่เงื่อนไขการรักษ์โลกแพงเกินไปจะทำให้การรักษ์โลกไม่เกิด” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
นอกจากนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการความร่วมมือพันธมิตรทางธุรกิจในการดำเนินโครงการบ้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โรงเรียนการเงินปี 2567 ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทต้องการให้ผู้บริโภคเข้าสู่การเป็นเจ้าของบ้านได้โดยไม่ต้องเริ่มกู้ตั้งแต่แรก รวมทั้งส่งเสริมวินัยการออม สร้างความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการและการวางแผนทางการเงินให้แก่ลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเช่าออมบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ LIVNEX ปัจจุบันพบว่ามีลูกค้าในโครงการประมาณ 1,000 ยูนิต
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวต่อว่า หากจะพัฒนาบ้านสีเขียวให้สามารถรักษ์โลกต้องมีราคาแพงมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายมีความพร้อมที่จะทำให้บ้านเป็นสีเขียว แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ จะทำอย่างไรให้เซ็กต์เมนท์ที่ใหญ่ที่สุดสามารถเข้าถึงบ้านสีเขียวในราคาที่ไม่แพงได้
นี่คือโจทย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท เพราะราคาคือปัจจัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในราคาปัจจุบัน หากในความเป็นจริงทำอย่างไรจะทำให้บ้านสามารถรักษ์โลกได้ด้วยง่ายๆราคาไม่แพง ซึ่งวิธีคิดถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยโจทย์ของบริษัท คือ ต้องรักษ์โลกได้ในวิธีที่ง่ายและไม่แพง รวมถึงการเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ที่อยู่อาศัยของเราสามารถเป็น Active Citizen ได้
“เราต้องทำให้เขารักษ์โลกได้ง่าย ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญมาก เพราะเราอยากเป็นจุดเล็กๆในไลฟ์สไตล์ที่คนอยากรักษ์โลกไปได้เรื่อยๆ บ้านเป็นเศษ 1ส่วน 3 ของชีวิตเรา ซึ่งบริษัทมีการวัดผลจากลูกค้าในเรื่องนี้ด้วย” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไป คือ Awareness ของผู้บริโภคในช่วงแรกเกี่ยวกับพื้นที่สีเขียวยังไม่ดีเท่านี้ แต่ตอนนี้พบว่าสิ่งที่โลกเจอ ทำให้ผู้บริโภคมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงในการเป็นในการ Active Citizen เพื่อให้เขาสามารถอยู่ในพื้นที่สีเขียวได้ เราจะตั้งใจเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่ไว้ใจได้ในทุกช่วงชีวิตและตั้งใจพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในทุกมิติของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
“การพัฒนาที่ยั่งยืนคือการพัฒนาที่สามารถสนองความต้องการที่จำเป็นของคนรุ่นใหม่ โดยไม่กระทบต่อขีดความสามารถในการสนองความต้องการที่จำเป็นของคนในรุ่นต่อไป” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
สำหรับบ้านเปลี่ยนโลกได้ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด บ้านหนึ่งหลังอาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ทันทีแต่บ้านพันหลังที่คิดต่าง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ถึงเวลาเลี่ยนมุมมองจากผู้ซื้อบ้านสู่พลเมืองที่ใส่ใจในอนาคต (Active Citizen) เพราะที่บริษัทการสร้างบ้านไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการชวนทุกคนให้มาร่วมรักษ์โลกได้ง่ายๆไปด้วยกันในทุกๆคนด้านความยั่งยืนของบริษัท คือ The Road To Net Zero โดยตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จริงจัง มุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็น Net Zero อย่างเต็มที่
นอกจากนี้บริษัทได้จัดทำแพลตฟอร์ม ZEROBOARD ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคำนวณและแสดงผลคาร์บอนจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตแบบ Low Carbon โดยบริษัทได้ลงมือทำจริงวัดจริงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลกของเราและยังช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันที่ต้องปรับตัวอย่างมากและจากความร่วมมือในครั้งนี้กับ ZEROBOARD เปรีบเสมือนจุดเริ่มต้นของเป้าหมายต่อไป
บ้านแสนสิริสู่การเป็น NET ZERO
นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) สะท้อนในหัวข้อ" Net Zero action บ้านพลังรักษ์โลก"ว่า ปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการในภาคอสังหาริมทรัพย์มีการตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องNET ZERO มากขึ้น ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการผลักดันโครงการบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายโครงการบ้านของแสนสิริสู่การเป็น NET ZERO ในปีพ.ศ. 2593
“จากเป้าหมายดังกล่าวนั้นยังมีเวลาดำเนินการอีก 25 ปี ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนั้นได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองอย่าไปมองสิ่งเป็นปัจจุบันหรืออดีตมากนัก เราควรมองที่ความเป็นไปได้และอนาคตมากกว่า” นายสมัชชา กล่าว
ยึดองค์ประกอบ 3 หลัก สีเขียว
นายสมัชชา กล่าวต่อว่าการเดินหน้าในการสร้างที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้นั้น เราต้องเริ่มจากสร้างต้นแบบ ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการเมื่อปี พ.ศ.2566 โดยเป็นการใช้วัสดุในการสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 หลักประกอบด้วย
1.การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว
2.การออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความเป็นธรรมชาติและการจัดวาง Landscape
3.การก่อสร้างนวัตกรรมเพื่อโลก Green Construction
โดยพบว่าผู้ประกอบการหลายรายหันมาใช้วัสดุ Precast มากขึ้นนอกจากนี้บริษัทยังมีการร่วมกับบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดำเนินการในเรื่อง Low Carbon ของบริษัท ที่นำมาใช้ในโรงงานสามารถควบคุมคุณภาพได้ดี อีกทั้งโรงงานที่ผลิตวัสดุ Precast ซึ่งมีวัสดุเหลือสามารถนำมารีไซเคิลอีกได้ ในเชิงกระบวนการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ใหม่ช่วยได้เหมือนกัน
ส่วนกระบวนการออกแบบและพัฒนาร่วมในแนวคิด Green And Well-being Furniture สำหรับงานตกแต่งภายในโครงการ ดังนี้
1.การออกแบบ ต้องสะท้อนถึงแนวคิดของห้องและโครงการ ช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดีกับผู้ใช้งานและคำนึงความปลอดภัยและหลักการยศาสตร์
2.วัสดุสีเขียว ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบของไม้และผลิตจากไม้ที่ได้รับการรับรองแหล่งที่มา100% วัสดุที่ใชในการบุเฟอร์นิเจอร์จะสดการเกิดเชื้อราและแนคทีเรียเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย รวมทั้งวัสดุอื่นๆ เช่น สี กาวหรือสารเคมีต้องได้รับการรับรองว่าไม่เป็นพิษและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานเฟอร์นิเจอร์ 3.ราคา ต้องควบคุมต้นทุนให้ราคาของเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมและใกล้เคียงกับราคาเฟอร์นิเจอร์ได้
นอกจากนี้ในด้าน Sustainable Prototype Home แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.Zero Energy Home พบว่า BEC Stimulation ลดลง 83%. ซึ่งรวมการใช้พลังงานสะอาดที่มีการวัดการใช้พลังงานหน้างานจริง
2.การใช้วัสดุสีเขียวด้านงานสถาปัตย์ภายในและระบบ คิดเป็น 69.8% และการใช้วัสดุสีเขียวจากงานภายใน คิดเป็น 100%
3.Reduce Carbon Emission คิดเป็น 30% พบว่างานโครงการก่อสร้างและสถาปัตยกรรม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 35%
โดยสรุป การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือภารกิจร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้บริโภค ใช้ทรัพยากรอย่างมีสติ การออกแบบเชิงระบบ และกฎหมายที่บังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,107 วันที่ 22 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ข่าวที่เกี่ยวข้อง