ในงานสัมมนา ROAD TO NET ZERO 2025 THAILAND GREEN ACTION : Session V : ECOLIFE : แพลตฟอร์มรักษ์โลก ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร นักแสดงและผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน ECOLIFE ได้ขึ้นฉายภาพความสำคัญของการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และนำเสนอแนวคิดการขับเคลื่อนสังคมและองค์กรสู่เป้าหมาย Net Zero ผ่านการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่สามารถวัดผลและต่อยอดสู่การรายงานความยั่งยืนของธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายพิพัฒน์ เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงบทบาทของ "คนตัวเล็ก" ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เขาได้ทุ่มเทมานานกว่า 10 ปี ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และการจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมทีละเล็กละน้อย
โดย ECOLIFE ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านั้น โดยเฉพาะการลดการใช้พลาสติกและการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่พนักงานสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
นายพิพัฒน์ ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินงานของ ECOLIFE กับแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่ทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และองค์กรขนาดใหญ่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ
"Net Zero จะเกิดขึ้นในไม่ช้า การรายงานความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น Sustainability Report, ESG Report หรือ SDG Report ยังไงก็ต้องทำ"
นายพิพัมนืกล่าว โดยเน้นว่า ECOLIFE มุ่งเน้นไปที่ "สังคม (S)" ในมิติของ ESG โดยเฉพาะในส่วนของการปรับพฤติกรรมพนักงาน โดยเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพนักงาน (Scope 3) เป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมากกว่าการลงทุนมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน (Scope 1) หรือการขนส่ง (Scope 2) ที่ต้องใช้งบประมาณสูงและอาจทำได้ไม่ต่อเนื่องในทุกปี
ในขณะที่พนักงานมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา การชักชวนให้พนักงานร่วมกิจกรรมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นแนวทางที่คุ้มค่าและสามารถนำไปจัดทำรายงานความยั่งยืนได้
นายพิพัฒน์ ได้ฉายภาพผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่แปลงแปลงไป "อากาศร้อนคงไม่มีใครชอบ...เดี๋ยวนี้คนป่วยเยอะ" สะท้อนถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อสุขภาพ
รวมไปถึงผลกระทบของที่ดินแพงและพื้นที่จำกัด ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่ออสังหาริมทรัพย์และวิถีชีวิต
"ข้าววันนี้เราหาเงินไม่เกินเท่าไหร่ ค่าข้าวต้องจ่ายสูงขึ้น...เงินเดือนเท่าเดิมแต่ราคาค่าข้าวสูงขึ้นผมว่าสุดท้ายแล้วมันกระทบกับเราโดยตรง" ทั้งนี้ย้ำว่าการแก้ปัญหาต้องมองที่ "ต้นทาง" ไม่ใช่แค่ปลายทาง เช่น การชวนคนไปเก็บขยะแต่ยังมีการทิ้งอยู่ หรือชวนปลูกป่าแต่ยังมีการตัดต้นไม้
นายพิพัฒน์ อธิบายว่า ECOLIFE เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการปรับพฤติกรรมของคนในวงกว้าง โดยปัจจุบันขยายกลุ่มเป้าหมายจากนักเรียนในโรงเรียนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ไปสู่พนักงานบริษัท วัด และโรงพยาบาล เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมร่วมกัน โดยมีจุดเด่นและประโยชน์ของ ECOLIFE สำหรับธุรกิจ เช่น
ECOLIFE ได้ร่วมมือกับหลากหลายองค์กร เช่น โรงเรียนกว่า 200 แห่งที่สามารถแยกขยะได้แล้วกว่า 400,000 กิโลกรัม และลด Food Waste ได้เกือบ 1 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนเทียบเท่า นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง รวมถึงการร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในการรวบรวมขยะรีไซเคิล
นายพิพัฒน์ ย้ำว่า การทำเรื่อง ESG โดยเฉพาะในมิติของสังคม (S) ควรเริ่มต้นจากภายในองค์กรก่อน หากบริษัทบอกว่าตัวเองเป็น Green Organization แต่พนักงานภายในไม่รู้ว่าทำอะไร ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
"เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดจาก Passion ที่ผมอยากทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเรามีสิทธิ์จริงๆ ที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี"
นายพิพัฒน์กล่าวสรุป โดย ECOLIFE จึงเป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึง "สิทธิ์" ในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ผ่านการลงมือทำที่ง่ายและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง