เมืองไม่ใช่แค่ตึก ถนน หรือรถโดยสาร หากแต่คือพื้นที่ของผู้คน คือพ่อแม่ที่ต้องพาลูกไปโรงเรียน คนงานที่ติดอยู่ในรถเพราะรีบไปทำงาน นักท่องเที่ยวที่แวะมาเยือน และชุมชนที่ต้องการอากาศสะอาด น้ำสะอาด และระบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต
เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวใน เวทีสัมมนา “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” โดยฐานเศรษฐกิจ วันที่ 18 มิถุนายน 2568 สะท้อนภาพเมืองในฐานะ “ระบบที่มีชีวิต” (Cities as Living Systems) ที่เคยใช้ในสแกนดิเนเวีย ให้เป็นกรอบแนวคิดสำหรับการออกแบบเมืองแห่งอนาคตในไทย ซึ่งควรถูกออกแบบโดยให้มนุษย์อยู่ศูนย์กลาง และต้องทำงานร่วมกันระหว่างที่ดิน น้ำ พลังงาน การขนส่ง และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นองค์รวม โดยยึดหลักการ 4 ข้อที่ควรเร่งลงทุนในระยะเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero
หนึ่งในกลไกสำคัญที่ธนาคารโลกผลักดัน คือ Transit-Oriented Development : TOD หรือการพัฒนาเมืองรอบระบบขนส่ง ซึ่งเชื่อมผู้คนเข้ากับโอกาส สร้างศูนย์กลางเมืองที่เดินได้ ลดการใช้รถยนต์ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยประเมินว่า TOD สามารถสร้างมูลค่าได้สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในพื้นที่อย่างพัทยา ขอนแก่น และกรุงเทพฯ รอบนอก โดยระบุว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลพลอยได้ เเต่เป็นจุดประสงค์สำหรับวิธีสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต
ในหลายพื้นที่ของไทย เช่น ขอนแก่น คนทำงานต้องเดินทางถึง 2 ชั่วโมงไปทำงาน ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ เพราะที่อยู่อาศัยกระจายตัวห่างจากแหล่งงาน หากพัฒนาเมืองโดยอิงกับระบบขนส่ง จะสามารถเชื่อมโยงผู้คนกับโอกาสได้มากขึ้น ลดการใช้รถยนต์ และสร้างชุมชนที่เดินได้
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา ได้ยกตัวอย่างเช่น พัทยา ขอนแก่น และพื้นที่รอบกรุงเทพฯ กำลังเริ่มต้นพัฒนา TOD อย่างจริงจัง หากสามารถปรับกฎระเบียบที่ดินได้อย่างเหมาะสม คาดว่าสามารถดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนได้มากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา เน้นย้ำให้เห็นว่า ไทยเผชิญทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ในเมืองต่าง ๆ ของประเทศ ได้สูญเสียน้ำมากถึง 40% เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าและรั่วไหล ขีดความสามารถที่จำกัด และเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้การลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นหัวใจสำคัญของการรีไซเคิลน้ำและการเดินหน้าสู่ Net Zero ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
นครสวรรค์ คือตัวอย่างที่ดีของระบบประปาและบำบัดน้ำที่เชื่อถือได้และมีราคาย่อมเยา ส่วนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังเผชิญการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการขาดแคลนน้ำสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานน้ำเป็นเรื่องคุ้มค่า
นอกจากนี้ยังระบุว่า หลายเมืองเริ่มใช้เทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพ เช่น เซาเปาโลใช้ AI ตรวจจับการรั่วไหล ลดการสูญเสียน้ำได้ 40% อิสตันบูลใช้ “เมืองแฝดดิจิทัล” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากร กรุงเทพฯ และขอนแก่นก็เริ่มทดลองเช่นกัน
ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นบ้านของ 40% ของประชากรไทย มีแรงงาน 78% และสร้าง GDP ถึงสองในสามของประเทศ แต่ต้องเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก หลังน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 รัฐบาลไทยได้จัดทำ “9 แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ” ด้วยงบรวมกว่า 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ครอบคลุมการเก็บกักน้ำ คลองบายพาส คันกั้นน้ำ และการฟื้นฟูแม่น้ำ ซึ่งธนาคารโลกให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
แนวทางแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติ (Nature-Based Solutions – NBS)
การทำงานร่วมกับธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ ร่องซึมน้ำ สวนฝน หลังคาเขียว หรือการฟื้นฟูป่าชายเลน สามารถช่วยจัดการน้ำท่วม ทำให้เมืองเย็นขึ้น และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ
จีนมีแนวคิด “เมืองฟองน้ำ” ที่ดูดซับน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จาการ์ตาใช้สวนริมแม่น้ำเพื่อลดน้ำหลาก ส่วนศรีลังกาใช้กลไกการจับมูลค่าที่ดินเพื่อสร้างรายได้มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
ในบริบทไทย เศรษฐกิจชายฝั่งมีมูลค่าถึง 20% ของ GDP และมีรายได้จากประมงมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี การกัดเซาะชายฝั่งจึงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ธนาคารโลกได้สนับสนุนรัฐบาลไทยพัฒนา “กรอบการเงินสีน้ำเงิน” (Blue Financing Framework) และ “แผนที่ทางทะเล” เพื่อเตรียมรองรับการลงทุนจากภาคีต่างชาติ
การเงินที่เป็นนวัตกรรม
การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ต้องการการระดมทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งงบประมาณรัฐไม่เพียงพอ ธนาคารโลกร่วมมือกับหน่วยงานไทยพัฒนาโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอน (Low Carbon Cities and Carbon Market Development) สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดของเสีย และปรับปรุงอาคารประหยัดพลังงาน โดยมีระบบติดตามประสิทธิภาพและแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ยกตัวอย่างโครงการความร่วมมือกับไทย “รถโดยสารประจำทางไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” (Bangkok E-Bus Programme) ซึ่งเป็น การส่งมอบคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลก ภายใต้มาตรา 6.2 ของความตกลงปารีส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการเงินคาร์บอนในระดับเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างระบบคาร์บอนเครดิตระดับเมือง หากสามารถรวบรวมเครดิตได้จากโครงการลดปล่อยคาร์บอนทั่วกรุงเทพฯ อาจมีมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะ 10 ปี
ปี 2026 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMF–World Bank Annual Meeting ซึ่งจะดึงผู้นำทั่วโลกมาที่กรุงเทพฯ และถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงความก้าวหน้าด้าน Net Zero ของประเทศไทย
เป็นโอกาสที่แท้จริงที่ทั่วโลก รัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีพัฒนา หัวหน้าบริษัทเทคโนโลยี หัวหน้ากลุ่มสื่อจะมายังประเทศไทยและกรุงเทพฯ หนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ทำ โครงการนำร่องและโครงการริเริ่มบางอย่าง เพื่อที่จะสามารถแสดงให้โลกเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ อากาศที่สะอาดขึ้น เมืองที่เย็นลง ย่านที่ปลอดภัยขึ้น และเมืองที่ให้บริการและปกป้องผู้คนและอนาคตอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง