net-zero

โมเดลเมืองสีเขียว ทูตสวีเดน–เวิลด์แบงก์ ดันไทยสังคมคาร์บอนตํ่า

ทูตสวีเดน-ธนาคารโลก เปิดแนวคิดการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ชูโมเดล “Sweden’s Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน” เเนะ 4 แผนพัฒนาเมืองผ่านแนวคิด SymbioCity ดันไทยสู่ Net Zero

เมื่อโลกต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนในยุโรป ภัยแล้งในแอฟริกา และน้ำท่วมในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือกที่ถูกต้อง” แต่คือ “ภารกิจเร่งด่วน” ของมนุษยชาติ

นี่คือเสียงสะท้อนจากหนึ่งในผู้ถ่ายทอดพลังความคิดบนเวทีคือ “แอนนา ฮัมมาร์เกรน” เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ซึ่งกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Sweden’s Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน” พร้อมถอดรหัสความสำเร็จของประเทศเล็กที่สร้างผลกระทบใหญ่ในระดับโลก บนเวทีสัมมนา “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” โดย “ฐานเศรษฐกิจ และ Than digital” เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำภาคธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลก ร่วมจุดประกายเส้นทางใหม่สู่อนาคตสีเขียวของไทย

ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง แต่คือการเลือกอยู่ฝั่งที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ 
 

เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ยังเผยเบื้องหลังความสำเร็จระดับโลกของสวีเดนในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านความยั่งยืน และเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือภารกิจเร่งด่วนของมนุษยชาติ พร้อมชี้ให้เห็นว่า วิกฤตโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่คือความจริงที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว

เรามองเห็นคลื่นความร้อนในยุโรป ภัยแล้งในแอฟริกา และน้ำท่วมในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย นี่คือสิ่งที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่จริงๆ

สวีเดน จากประเทศเล็กสู่ผู้นำสีเขียวระดับโลก

แม้สวีเดนจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่กลับสร้างผลงานระดับโลกได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดอันดับหนึ่งด้าน Global Sustainability Competitiveness Index และอันดับสองของประเทศเศรษฐกิจนวัตกรรมระดับโลก โดยเฉพาะ “Climate Tech” ของสวีเดนที่มีบริษัทเอกชนกว่า 500 ราย รวมมูลค่ากว่า 28,000 ล้านดอลลาร์

เบื้องหลังความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลลัพธ์จากนโยบายที่ต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษ สวีเดนเป็นประเทศแรกของโลกที่ออก พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 1967 และเป็นเจ้าภาพการประชุมสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของสหประชาชาติในปี 1972 ตามมาด้วยการบุกเบิกมาตรการภาษีคาร์บอนในปี 1991 และ Climate Act ในปี 2017 ที่กำหนดให้ทุกกระทรวงต้องดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

หนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นคือ “Fossil Free Sweden” ที่รวบรวมความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้าให้ประเทศปลอดพลังงานฟอสซิลทั้งหมดภายในปี 2045 โดยมีอุตสาหกรรม 22 สาขาที่จัดทำ “Roadmap” ของตนเอง และส่งเสริมความเชื่อมั่นว่า “การปลอดฟอสซิล” คือโอกาสทางการแข่งขัน ไม่ใช่ต้นทุนที่ต้องหลีกเลี่ยง

แอนนา เผยว่า นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเหล็กในรอบพันปี แม้ต้นทุนของอุตสาหกรรมจะสูง แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้าปลายน้ำกลับน้อยมาก เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์แบบปลอดคาร์บอนมีราคาสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นอกจากนี้ สวีเดนยังเป็นประเทศที่รีไซเคิลขยะในครัวเรือนได้ถึง 98% และผลิตพลังงานกว่า 98% โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในระดับโลก สวีเดนยังสนับสนุนการเงินด้านสิ่งแวดล้อมผ่านองค์กรต่างๆ เช่น UN, ADB, และ World Bank โดยในปี 2023 เพียงปีเดียว สวีเดนจัดสรรงบพัฒนาเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

สวีเดนเป็นประธาน UN Green Climate Fund

มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประเทศรายได้น้อยและปานกลาง ให้เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และสร้างระบบที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ อีกหนึ่งโมเดลสำคัญที่กล่าวถึงคือ “Quadruple Helix” หรือการจับมือกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล มหาวิทยาลัย และประชาสังคม ซึ่งนำไปสู่โครงการนวัตกรรมที่ล้ำหน้า เช่น รถบรรทุกไฟฟ้าของ Volvo และ Scania ทางหลวงไฟฟ้าแบบชาร์จขณะขับเคลื่อน โรงงานปูนซีเมนต์ดักจับคาร์บอน หรือเทคโนโลยีรีไซเคิลสิ่งทอเพื่อต่อกรกับ Fast Fashion

 แอนนายังยกตัวอย่างบริษัทสวีเดนที่ดำเนินธุรกิจในไทย อาทิ Midsummer (แผงโซลาร์เซลล์), Candela (เรือไฟฟ้า), ABB, Siemens Energy, Hitachi Technologies และบริษัทอีกมากที่มุ่งมั่นร่วมเปลี่ยนผ่านพลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำคัญที่สุดคือ การพิสูจน์ว่า “ความยั่งยืนไม่ได้ขัดแย้งกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ” โดยในช่วงปี 1990–2019 สวีเดนสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 86% ขณะที่ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 30% โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับความสัมพันธ์ไทย-สวีเดน แอนนาย้ำว่าทั้งสองประเทศต่างปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่า 1% ของโลกเท่าๆ กัน และต่างมีพันธกิจมุ่งสู่ Net Zero โดยร่วมมือกันผ่านเวที Sweden-Thailand Sustainable Development Forum ต่อเนื่อง 5 ปี และแพลตฟอร์ม Pioneer the Possible ที่จับคู่ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศเพื่อผลักดันอนาคตที่ยั่งยืน

แอนนา ฮัมมาร์เกรน ชื่นชมทั้งบริษัทจากสวีเดนและไทยที่ต่างพัฒนาโซลูชันและนวัตกรรมที่ทรงพลังเพื่อสนับสนุนเส้นทางสู่ Net Zero ของโลก พร้อมประกาศว่า สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม Bangkok Climate Action Week ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงกันยายน-ตุลาคม โดยมุ่งสร้างการรับรู้ในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสาธารณชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนวาระด้านความยั่งยืน

เมืองไทยแห่งอนาคต ผู้คนเป็นศูนย์กลาง

หากสวีเดนถ่ายทอดบทเรียนจากการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้ยั่งยืน อีกมุมหนึ่งของเวที “Road to Net Zero 2025” ธนาคารโลกได้นำเสนอวิสัยทัศน์ว่าด้วยการ “เปลี่ยนเมือง” ซึ่งเป็นหัวใจของการลดการปล่อยคาร์บอนและยกระดับคุณภาพชีวิตในเวลาเดียวกัน

“เมลินดา กู้ด” ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าวสะท้อนภาพเมืองในฐานะ “ระบบที่มีชีวิต” (Cities as Living Systems) ที่เคยใช้ในสแกนดิเนเวีย ผ่านแนวคิด “SymbioCity” หรือการออกแบบเมืองแบบองค์รวม ซึ่งมองเมืองเป็น “ระบบที่มีชีวิต” ไม่ใช่เพียงตึก ถนน หรือระบบขนส่ง แต่คือพื้นที่ที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอย่างสมดุล โดยยึดหลักการ 4 ข้อที่ควรเร่งลงทุนในระยะเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ได้แก่

การพัฒนาที่เน้นการขนส่ง (Transit-Oriented Development -TOD) : หนึ่งในกลไกสำคัญที่ธนาคารโลกผลักดัน คือ Transit-Oriented Development : TOD หรือการพัฒนาเมืองรอบระบบขนส่ง ซึ่งเชื่อมผู้คนเข้ากับโอกาส สร้างศูนย์กลางเมืองที่เดินได้ ลดการใช้รถยนต์ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประเมินว่า TOD สามารถสร้างมูลค่าได้สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในพื้นที่อย่างพัทยา ขอนแก่น และกรุงเทพฯ รอบนอก โดยระบุว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลพลอยได้ เเต่เป็นจุดประสงค์สำหรับวิธีสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต

การบริหารจัดการน้ำ : ไทยเผชิญทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ในเมืองต่าง ๆ ของประเทศ ได้สูญเสียน้ำมากถึง 40% เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าและรั่วไหล ขีดความสามารถที่จำกัด และเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้การลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นหัวใจสำคัญของการรีไซเคิลน้ำและการเดินหน้าสู่ Net Zero ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยยกตัวอย่าง นครสวรรค์ และเขต EEC รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI หรือเมืองแฝดดิจิทัลที่เริ่มใช้ในกรุงเทพฯ และขอนแก่น

แนวทางแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติ : การทำงานร่วมกับธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ ร่องซึมน้ำ สวนฝน หลังคาเขียว หรือการฟื้นฟูป่าชายเลน สามารถช่วยจัดการน้ำท่วม ทำให้เมืองเย็นขึ้น และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เศรษฐกิจชายฝั่งไทยมีมูลค่าถึง 20% ของ GDP และรายได้จากประมงมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี การกัดเซาะชายฝั่งจึงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ซึ่งธนาคารโลกได้สนับสนุนกรอบการเงินสีน้ำเงิน และแผนที่ทางทะเลเพื่อเตรียมรองรับการลงทุนจากภาคีต่างชาติ

การเงินที่เป็นนวัตกรรม : การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ต้องการการระดมทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งงบประมาณรัฐไม่เพียงพอ ธนาคารโลกร่วมมือกับหน่วยงานไทยพัฒนาโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอน โดยยกตัวอย่าง Bangkok E-Bus Programme ซึ่งเป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลก ภายใต้มาตรา 6.2 ของความตกลงปารีส และมีศักยภาพขยายสู่ระบบเครดิตทั่วกรุงเทพฯ มูลค่าถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน 10 ปี

โอกาสของไทย บนเวทีของโลก

ปี 2026 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMF-World Bank Annual Meeting ซึ่งจะมีผู้นำทั่วโลกเดินทางมาที่กรุงเทพฯ เพื่อติดตามความก้าวหน้าด้าน Net Zero และการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสีเขียวของไทย

เมลินดา กู้ด มองว่า จะเป็นโอกาสที่ รัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีพัฒนา หัวหน้าบริษัทเทคโนโลยี หัวหน้ากลุ่มสื่อจะมายังประเทศไทยและกรุงเทพฯ หนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อแสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการนำร่องและโครงการริเริ่มบางอย่างกำลังเกิดขึ้น ทั้งอากาศที่สะอาดขึ้น เมืองที่เย็นลง ย่านที่ปลอดภัย และเมืองที่ให้บริการและปกป้องผู้คน