บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG มีธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) โดยปัจจุบันมีโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้งหมด 36 โครงการ กระจายอยู่ในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม เลย สุรินทร์ บุรีรัมย์ และลพบุรี รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ ซึ่งในปี 2567 สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 372.49 ล้านหน่วย และไตรมาสแรก ปี 2568 สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ได้ 102.1 ล้านหน่วย
อีกทั้งได้ขยายการลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น 3 โครงการ ได้แก่
โครงการ “Tottori Yonago Mega Solar Farm” เมืองทตโตะริ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 30 เมกะวัตต์ ถือหุ้นสัดส่วน 79.10 %
โครงการ “Ukujima Mega Solar Project” เมืองชาเซโบ จังหวัดนางาซากิ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ ถือหุ้นในสัดส่วน 17.92 % อยู่ระหว่างก่อสร้าง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 2569
และโครงการ Kanoya Ohura Mega Solar เกาะคิวชูเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิม่า กำลังการผลิตติดตั้งรวม 8.02 เมกะวัตต์ ถือหุ้นในสัดส่วน 20 % รวมกำลังผลิตที่ญี่ปุ่นตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 111 เมกะวัตต์ และในไทย 229 เมกะวัตต์
ขณะที่การดำเนินาน Solar Roof ในช่วงปี 2556-2567 มียอดขายหรือติดตั้งรวม 200 คิดเป็นมูลค่าราว 7,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ SPCG ได้ประกาศเจตนารมณ์ เพื่อส่งเสริมการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยได้เริ่มประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint Organization: CFO) จากการดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร โดยใช้ข้อมูลในปี 2566 เป็นปีฐาน มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 919 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) จากกิจกรรมของ บริษัทฯ (สำนักงานใหญ่) 152 tCO2eq และส่วนของโซลาร์ฟาร์ม 767 tCO2eq
นอกจากนี้ SPCG ยังได้ทำสัญญาซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงาน หมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) ร่วมกับบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด หรือ INNOPOWER บริษัทในเครือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อส่งเสริมเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปีพ.ศ. 2593 และการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 ผ่านการซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) โดย INNOPOWER จะเป็นผู้แทนในการบริหารจัดการและซื้อขายเเลกเปลี่ยน RECs ในระยะเวลา 5 ปี
ในปี 2567 SPCG สามารถสามารถผลิตพลังงานหมุนเวียนได้จำนวน 372,494,551 kWh หรือคิดเป็นปริมาณหน่วยการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน (RECs) ได้เท่ากับ 372,494.55 RECs และสามารถออกขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) เป็นจำนวนกว่า 30,540 MWh เทียบเท่า 15,270 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยคาดว่า Solar Farm ทั้ง 36 โครงการในไทย รวมกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ จะสามารถออก REC ได้ประมาณ 370,000 RECS ต่อปี
นางสาวรุ่งฟ้า ลาภยืนยง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชี และงบประมาณ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อมาศึกษาโอกาสการและความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนของโครงการต่างๆ ทั้งในไทยและต่งประเทศ
รวมถึงได้ร่วมกับ Kyocera Corporation (Kyocera), Japan ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ศึกษาข้อมูลและพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการสนับสนุนตามนโยบายภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าโครงการใดทั้งในและต่างประเทศมีความเป็นไปได้หรือมีความเหมาะสมก็พร้อมที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ในมือแล้วกว่า 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2593 สอดรับกับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือ พีดีพี ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ ที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 51% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เมื่อภาครัฐเปิดให้มีการประมูล บริษัทคาดว่าจะเข้าไปมีส่วนในการคว้างานได้ราว 15-20 % จากกำลังการผลิตติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด
นอกจากนี้ มองว่าการติดตั้ง Solar Roof ในที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม ยังมีโอกาสเติบโตได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสงครามการค้า ซึ่งประเมินว่าน่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีนี้ได้ประมาณ 500 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ราว 900-1,000 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังการผลิตติดตั้งรวมไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์โดยมีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 23,000 ล้านบาท ภายใต้บริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด (SET ENERGY) นั้น จะต้องชะลอโครงการไว้ก่อน จากการฟ้องร้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ฐานทำละเมิดโดยการยกเลิกการให้ความยินยอมโอนสิทธิหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในพื้นที่เมืองใหม่ EEC โดยศาลยุติธรรม (ศาลแพ่ง)ได้รับคำฟ้องไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง