ได้มีมติให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมในกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ภายใต้รูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565-2573 กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 3,668.5 เมกะวัตต์
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปศึกษาทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต โดยจะไม่มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว จนกว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการจัดทำจะได้รับความเห็นชอบจาก กพช.
ทั้งนี้ หากมาดูความเป็นไปของโครงการดังกล่าว เกิดขึ้นจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ในการประชุม กพช.เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 จึงมีมติเห็นชอบหลักการรับซื้อไฟฟ้าและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง สำหรับปี 2565-2573 ในปริมาณรวม 5,203 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม สำหรับปี 2569 ในปริมาณ 100 เมกะวัตต์ ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผน PDP2018 Rev.1 ในช่วงปี พ.ศ. 2564-2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ได้แก่
ก๊าซชีวภาพ (นํ้าเสีย/ของเสีย) ในอัตราค่าไฟฟ้า 2.0724 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 20 ปี
พลังงานลม อัตราค่าไฟฟ้า 3.1014 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 25 ปี
พลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 2.83 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 25 ปี
พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน อัตราค่าไฟฟ้า 2.1679 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 25 ปี
และเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม สำหรับปี 2569 ในปริมาณ 100 เมกะวัตต์ ในอัตราค่าไฟฟ้า 3.39 บาทต่อหน่วย สำหรับกำลังการผลิตติดตั้งน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 เมกะวัตต์
ในส่วนนี้มีผู้สนใจเสนอโครงการเข้ามาเป็นจำนวนมากมีผู้ผ่านเกณฑ์รวม 386 ราย และได้รับการคัดเลือกผ่านการพิจารณา 175 ราย รวมปริมาณการเสนอขาย 4,852.26 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม 13 รายจาก 18 ราย เสนอขายรวม 100 เมกะวัตต์
จากที่มีผู้สนใจเสนอขายไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก การประชุม กพช. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 จึงมีมติเห็นชอบหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565–2573 อีก 3,668.5 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 2,632 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ (นํ้าเสีย/ของเสีย) 6.5 เมกะวัตต์ และขยะอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ ในอัตราค่าไฟฟ้าเดียวกับระยะแรก
โดยจะพิจารณาให้สิทธิกับกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิค จากที่เคยเสนอขายไฟฟ้ามารอบแรกก่อน ปริมาณ 2,180 เมกะวัตต์ ซึ่งผลการพิจารณา มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 72 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 2,145.4 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานลม จำนวน 8 ราย รวม 565.40 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ SCOD ตั้งแต่ปี 2571-2573 และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม1,580 เมกะวัตต์ กำหนด SCOD ตั้งแต่ปี 2569-2573
ขณะที่กำลังการผลิตที่เหลืออีก 1,488.5 เมกะวัตต์ จะให้สิทธิกับกลุ่มที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ ไม่ผ่านเทคนิค หรือผู้ประกอบการทั่วไป ที่ยังไม่เคยยื่นเสนอขายไฟฟ้า แต่มีความพร้อมดำเนินการได้ตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับกิจการ (กกพ.) กำหนด ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่มีการประกาศหรือเปิดให้ยื่นเสนอขายไฟฟ้าแต่อย่างใด
เหตุผลที่ กพช.ในการอนุมัติรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้สำเร็จได้ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผน PDP2018 Rev.1 ในช่วงปี พ.ศ. 2564–2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม ครั้งที่ 2 ) เพื่อเป็นส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้ 30-40% ตามแผนการมีส่วนร่วมของประเทศ (NDC) และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)
รวมถึงจะช่วยให้ประเทศไม่เสียโอกาสในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ที่มีอัตรารับซื้อในระดับที่เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในภาพรวม และช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางด้าน ราคาค่าไฟฟ้าของประเทศได้ในระยะยาว
อีกทั้งจะช่วยสนับสนุนแนวนโยบายการบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) เป็นการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า จากพลังงานสะอาดของผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่มีความจำเป็น ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศด้วยการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง