net-zero

“TDRI” จี้รัฐรื้อพีดีพีใหม่ ดันพลังงานแสงอาทิตย์-แบตเตอรี่ ลดภาระค่าไฟ

การจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือพีดีพีฉบับใหม่ (PDP 2024) อันเป็นแผนหลักในการจัดหาไฟฟ้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ

ทั้งนี้แผนได้ผ่านรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนไปเมื่อกลางปี 2567 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้มีความล่าช้ามาร่วม 2 ปี ยังไม่สามารถประกาศนำมาใช้ได้ และกลายเป็น “หลุมดำ” ด้านการพัฒนาพลังงานของประเทศ ที่กำลังจะกลายเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการสูญเสียขีดความสามารถการแงขันของประเทศ จากความไม่มีความชัดเจนของแผน โดยเฉพาะการส่งเสริมพัฒนาพลังงานสะอาด ที่นักลงทุนมีความต้องการมากอยู่ในเวลานี้

ในงานเสวนา “ความเงียบของราคาค่าไฟแพง กับการลงทุนที่ประชาชนไม่มีเสียง” จัดโดยบริษัท ดาต้า แฮทช จำกัด โดย ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในหัวข้อ “ความเงียบใน PDP ทำค่าไฟแพง ส่งเสียงอย่างไรให้ระบบไฟฟ้าไทยแฟร์”

โดยชี้ให้เห็นว่า ร่างแผนพีดีพีที่อยู่ระหว่างจัดทำนี้ ภาครัฐควรจะมีการทบทวนค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนแปลงไป การที่จะใช้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี ที่เคยทำไว้เมื่อปี 2565 ที่ 3.1 % มองว่าเป็นตัวเลขที่สูงไป และไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดที่จะนำมาใช้ในการคาดการณ์นำมาพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“TDRI” จี้รัฐรื้อพีดีพีใหม่ ดันพลังงานแสงอาทิตย์-แบตเตอรี่ ลดภาระค่าไฟ

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 28 ปีที่ผ่านมา ได้มีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศสูงเกินจริงมาตลอด ส่งผลให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีการใช้งาน ส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าความพร้อมจ่าย (AP) จากการไม่ได้เดินเครื่องของโรงไฟฟ้า สะท้อนได้จากเดือนกันยายน 2567 มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 13 โรง เดินเครื่องเพียง 6 โรง และอีก 7 โรงไม่ได้เดินเครื่อง ทำให้คนไทยเสียค่าความพร้อมจ่ายโดยเฉลี่ยเดือนละ 2,500 ล้านบาท

หากไม่มีการทบทวนค่า พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ การจัดทำแผนพีดีพีก็จะซํ้ารอยเดิม จะทำให้ประชาชนต้องร่วมกันแบกรับค่าความพร้อมจ่ายที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอีกในอนาคต

นอกจากนี้ เห็นว่า ร่างแผนพีดีพีใหม่ ควรให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของ Energy technology ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากจะเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2573 ประกอบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 87% และต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่) ลดลงถึง 85% เช่นกัน

 ขณะที่ในไทยพบว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ต่อหน่วย เริ่มถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติ ข้อมูลล่าสุดพบว่า โรงไฟฟ้าใหม่จากพลังานแสงอาทิตย์ คาดการณ์ว่า จะถูกลงกว่า 27 % ภายในปี 2573 ในขณะที่โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ก๊าซฯ จะลดลงเพียง 4%  และถ่านหินลดลง 6%

 ดังนั้น ควรที่จะใช้โอกาสจากการที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลดลง และมีแนวโน้มจะลดลงอีกในอนาคต ในการเพิ่มเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น แต่พลังงานแสงอาทิตย์ยังมีจุดอ่อนของการผลิตไฟฟ้าที่ยังไม่มีเสถียรภาพ จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานมาร่วมใช้กับการผลิตพลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้นตามด้วย

รวมถึงการเพิ่มเป้าหมาย Smart Grid และ Demand Response ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการเพิ่มเสถียรภาพของแหล่งพลังงานสะอาด หากในแผนพีดีพียังจำกัด Smart Grid อยู่ที่ 1,000 เมกะวัตต์ และ Demand Response 1,000 เมกะวัตต์ หรือให้ความสำคัญ Energy technology ที่ตํ่าเกินไป จะกลายเป็นการคุมกำเนิดพลังงานสะอาดให้กับประเทศไทย ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ และยังมีต้นทุนตํ่ากว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ

อีกทั้ง แผนพีดีพีฉบับใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้ชัดเจน และเร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีด้วยพลังงานสะอาด เนื่องจากปัจจุบันแผนพีดีพียังยึดติดกับระบบผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer) ทำให้กิจการไฟฟ้ามีผู้ผลิตน้อยราย และราคาค่าไฟฟ้าไม่เป็นไปตามกลไกตลาด และไม่เป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและภาคประชาชนในการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด

ทั้งนี้ หากไม่มีการปรับแก้ร่างแผนพีดีพี ตามที่กล่าวมานี้ จะกระทบต่อความสมดุลด้านพลังงาน ส่งผลให้เกิดภาระต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างไม่จำเป็น จากการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ที่จะมีโรงไฟฟ้าก๊าซฯเกิดขึ้นอีก 8 โรง รวมกำลังผลิต 6,300 เมกะวัตต์ และการนำเข้าไฟฟ้าพลังงานนํ้า จากสปป.ลาวอีก 3 แห่ง รวมกำลังผลิต 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง จากการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง และประชาชนต้องร่วมกันแบกรับความพร้อมจ่ายที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต รวมทั้ง ต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีที่มีต้นทุนแพงในปริมาณที่มากขึ้นตามมาด้วย

 ดังนั้น จึงขอให้ภาครัฐคาดการณ์ความต้องการใหม่ เพื่อที่จะยกเลิกการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นอันจะเป็นการช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าแอลเอ็นจี ที่มีราคาแพงได้อีกทางหนึ่ง และควรทบทวนการนำ Hydrogen เข้ามาในภาคการผลิตไฟฟ้า จะกระทบต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและราคาค่าไฟสูงขึ้น