ลดค่าไฟต่ำกว่า 3.70 บาทต่อหน่วย เป็นเป้าหมายค่าไฟงวดก.ย.-ธ.ค. 68 ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประกาศว่ารัฐบาลควรทำให้ได้
ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้การลดค่าไฟสามารถทำได้ในระดับต่ำกว่า 3.70 บาทดังกล่าว
จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวความเป็นไปได้ พบว่า
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ระบุถึงแนวทางข้อเสนอที่รัฐบาลควรดำเนินการเกี่ยวกับการลดค่าไฟในระยะต่อไป ประกอบด้วย
นายอิศเรศ ระบุด้วยว่า เอกชนต้องการเห็นนโยบายเรื่องพลังงานและค่าไฟฟ้าที่เป็นเชิงรุก และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยยุทธศาสตร์ที่ดี โดยควร ประสานใกล้ชิด และ เปิดใจรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วน และความร่วมมือที่ดีในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจของโลกและของประเทศเช่นในปัจจุบัน
“แนวโน้มค่าไฟงวดก.ย.-ธ.ค. 68ไม่ควรเกิน 3.70 บาทต่อหน่วย โดยจะต้องกล้าลดไขมันที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่โยกตัวเลข และไม่เติมของใหม่ที่มีไขมันเข้าระบบ”
สำหรับการลดไขมันที่แฝงอยู่ในค่าไฟฟาจากเงินลงทุนที่ไม่ได้ใช้ตามแผนลงทุนจาก 3 การไฟฟ้าฯ (Claw back) ใน งวดพ.ค.-ส.ค. 68 ถือว่ามาถูกทาง ซึ่งในความเป็นจริงตัวเลขดังกล่าวจริงได้ไปรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าฐานมาตั้งนานแล้ว
ทั้งนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าต้องการให้มีการทบทวน เรื่องเงินลงทุนกันทุกปี โดยไม่ต้องรอการปรับค่าไฟฟ้าฐานทุก 5 ปี เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระค่าไฟฟ้าที่แฝงอยู่ของประเทศ
การลดไขมันต้องแก้ปัญหาเรื่องค่าแก็สธรรมชาติ (NG) ซึ่งแพงที่ต้นเหตุ ไม่ใช้วิธีการโยกภาระ ค่า LNG นำเข้าที่แพงที่สุดให้ภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งรับภาระ ยิ่งในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจติดดินเช่นนี้ โดยกกร. ได้ยื่นหนังสือ นโยบาย Pool Gas ถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีวันนี้ (2 พ.ค.68)
นอกจากนี้ควรรีบทบทวน /ยับยั้ง การเดินหน้าการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน(Big Lot) ที่ใช้ราคาเป้าหมายตามประกาศของ กกพ.ที่แพงกว่าราคาตลาดในเวลาเดียวกันแม้ว่าจะถูกกฏหมาย แต่ไม่เหมาะสมเพราะจะเป็นภาระของประเทศไม่จบ ไม่สิ้น ควรหาทางออกด้วยการหารือกับผู้เกี่ยวข้อง