net-zero

บีโอไอดึงลงทุน พลังงานสะอาด 2.9 พันโครงการ รับดาต้าเซ็นเตอร์ 5.1 แสนล้าน

    บีโอไอ เร่งขับเคลื่อนยุทธ์ศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เผยกว่า 10 ปี มีผู้รับขอส่งเสริมแล้ว 2,900 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 5.6 แสนล้านบาท พร้อมรองรับ Data Center 32 โครงการ มูลค่า 5.1 แสนล้าน

จากที่ประเทศไทยดำเนินนโยบายสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งเป้าหมายก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2065 เพื่อสร้างอุตสาหกรรมคาร์บอนตํ่า

ขณะที่ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย ปี 2567 - 2580 (Power Development Plan หรือ PDP2024) ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเป็นไม่น้อยกว่า 50% เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งปัจจุบันไทยมีการผลิตพลังงานสะอาดในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 26% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม และจากการจัดอันดับ SDG Index ในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยอยู่ที่อันดับ 43 ของโลก เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน โดยได้คะแนนความก้าวหน้าในด้านพลังงานสะอาดสูงสุดในภูมิภาค

ทั้งนี้ บีโอไอ มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น ด้วยการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บีโอไอดึงลงทุน พลังงานสะอาด 2.9 พันโครงการ รับดาต้าเซ็นเตอร์ 5.1 แสนล้าน

รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรม เป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) เพื่อรองรับกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ เช่น Data Center ที่มีความต้องการพลังงานสะอาด

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)  เปิดเผยว่า บีโอไอได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนและตั้งฐานผลิตในประเทศไทย และรองรับการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมไปสู่การลงทุนสีเขียว และสร้างระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนด้านพลังงาน เพิ่มความแข็งแกร่งให้ไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาพลังงานสะอาดของภูมิภาค ลดความเสี่ยงในวิกฤตด้านพลังงานในอนาคต

ทั้งนี้ จากสถิติการขอรับการส่งเสริมในกิจการพลังงานสะอาด นับตั้งแต่ปี 2558-มีนาคม 2568 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมกว่า 2,900 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 560,000 ล้านบาท แบ่งตามประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอนํ้าจากขยะ หรือเชื้อเพลิงจากขยะ จำนวนกว่า 80 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 110,000 ล้านบาท

กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอนํ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ เป็นต้น มีจำนวนกว่า 2,800 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 320,000 ล้านบาท กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอนํ้าจากพลังงานอื่น ๆ มีจำนวนกว่า 30 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยหันมาใช้พลังงานทดแทน ตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมสู่ Smart and Sustainable Industry โดยตั้งแต่ปี 2558-มีนาคม 2568 มีจำนวนกว่า 2,400 โครงการ มูลค่ากว่า 220,000 ล้านบาท ถือเป็นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจสีเขียวตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นนํ้าจนถึงปลายนํ้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาส ลดความเสี่ยง และยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ในขณะที่มีอุตสาหกรรมที่ต้องการพลังงานสะอาด อาทิ เช่น กิจการ Data Center และ Cloud Service ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการจำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท และในช่วง 3 เดือนของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center อีก 5 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ รวมมูลค่าการลงทุนราว 220,910 ล้านบาท เมื่อรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565-มีนาคม 2568 มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.1 แสนล้านบาท ในจำนวน 32 โครงการ

นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ล่าสุดบีโอไอ ยังได้ให้การส่งเสริมกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ ควบคู่กับการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้

รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) โดยส่งเสริมให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้