โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 2,180 เมกะวัตต์ โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังคงเป็นปัญหาที่ยังคงไม่มีความชัดเจน
หลังจากที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ส่งหนังสือถึงเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2567 ให้ระงับการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 2,180 เมกะวัตต์ดังกล่าวไว้ชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายเสร็จสิ้น
หากนับจากวันที่นายพีระพันธุ์ยื่นเรื่องขอให้ระงับการซื้อขายจนถึงปัจจุบันเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วกว่า 5 เดือน แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
โดยจากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” ล่าสุดกับแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานก็ได้รับคำตอบเพียงว่า เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบ
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลต่อความเสียหายต่อแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ของประเทศไทยที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด เพื่อเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065
ขณะที่แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า ระบุว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับคัดเลือกจากสำนักงาน กกพ. ให้ขายไฟฟ้าจำนวน 72 รายได้รับผลกระทบจากการประมูลโครงการดังกล่าว เพราะไม่สามารถวางแผนการลงทุนได้ และไม่รู้ว่านายพีระพันธุ์ จะสรุปผลการตรวจสอบโครงการต่อไปอีกนานแค่ไหน
ทั้งนี้ แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเคยตอบข้อซักถามของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สามารถสั่งให้ 3 การไฟฟ้า (กฟผ. กฟน. และกฟภ.) ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนดำเนินการต่อได้ แต่กฤษฎีกาเห็นว่า ต้องมีแนวทางการตรวจสอบที่ชัดเจน และกำหนดกรอบระยะเวลาให้แน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ได้รับการคัดเลือก
อย่างไรก็ดี การสกัดไม่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว ซึ่งถูกกว่าราคาซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนในปัจจุบันมากนั้น ได้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และพลังงานลมที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 2553 - ปัจจุบัน ที่ได้รับค่าอุดหนุน Adder หน่วยละ 6.5 - 8 บาท สำหรับไฟฟ้าโซลาร์และหน่วยละ 3.50 บาท สำหรับไฟฟ้าพลังลมเป็นเวลา 10 ปี ราคารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่นายพีระพันธุ์ สั่งระงับไฟฟ้าโซลาร์หน่วยละ 2.16 บาท พลังงานลมหน่วยละ 3.10 บาท ไม่มีค่า Adder
ขณะที่ราคารับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มปัจจุบันช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีก (Peak) หน่วยละ 4.51 บาท บวกค่า Adder หน่วยละ 6.50 บาท เท่ากับ 11.01 บาท แพงกว่าราคาไฟฟ้าโซลาร์ที่นายพีระพันธุ์ สั่งชะลอการรับซื้อถึงหน่วยละ 9 บาท
อีกทั้งแม้จะไม่มีค่า Adder แล้ว ถือว่าแพงกว่าหน่วยละ 2 บาท เพราะต้นทุนไฟฟ้าโซลาร์ปัจจุบันลดลงมาก แต่โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มยังขายไฟได้ในราคาแพง เพราะเป็นสัญญาเดิมที่มีการต่ออายุอัตโนมัติทุก 5 ปี
นอกจากนี้ สำนักงาน กกพ.เคยเสนอให้ กพช. ทบทวนสัญญารับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนใหม่ โดยกำหนดราคารับซื้อที่สะท้อนต้นทุนแท้จริง เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ได้ค่า Adder 10 ปีคุ้มทุนได้กำไรไปหมดแล้ว แต่ยังคงขายไฟในราคาที่สูง ไม่เป็นธรรมกับประชาชน
โดย สำนักงาน กกพ. ประเมินว่า การทบทวนสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจะทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่า Ft ลดลงหน่วยละ 17 สตางค์ทันที ทำให้ค่าไฟฟ้าตลอดทั้งปีนี้ไม่เกิน 3.98 บาทต่อหน่วย คิดเป็นเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้าประหยัดได้ ตลอดปี 2568 มากถึง 33,150 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นายพีระพันธุ์ ไม่เห็นด้วย และได้มีการเรียกเลขาธิการสำนักงาน กกพ. เข้าพบเพื่อสั่งให้ยกเลิกข้อเสนอดังกล่าว โดยอ้างว่าการทบทวนสัญญาทำไม่ได้ อาจถูกคู่สัญญาฟ้องร้อง แม้ว่าเลขาธิการ กกพ. จะชี้แจงว่าทำได้ เพราะพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มาตรา 65 ให้อำนาจในการแก้ไขสัญญาให้ราคารับซื้อสะท้อนต้นทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ
"ก่อนหน้านี้สัญญาขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน มีราคาคิดกันเป็นเมกะวัตต์ คือ เมกะวัตต์ละ 1 ล้านบาท ปัจจุบันมีข่าวในวงการพลังงานว่า ราคาได้ปรับขึ้นเป็นเมกะวัตต์ละ 3-5 ล้านบาท แลกกับการได้ต่อสัญญาขายไฟฟ้าราคาแพงไปชั่วนิรันดร์"
กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว คล้ายกับตอนที่นายพีระพันธุ์ ได้สั่งให้กฟผ.ระงับโครงการจ้างขุด/ขนถ่านหินโรงไฟฟ้าแม่เมาะไว้ก่อนอ้างเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกว่า 4 เดือน จนเกิดปัญหากับ กฟผ. ในการการขาดถ่านหินเพื่อป้อนโรงไฟฟ้า
ส่งผลให้ บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ ผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะการประกวดราคาจ้างเหมาขุด-ขน ดินและถ่าน สัญญาที่ 8/1 จำนวน 2 รายการ มูลค่าสัญญารวม 7,170 ล้านบาท ได้ส่งหนังสือถึง กฟผ. โดยแจ้งว่าจะฟ้องผู้เกี่ยวข้องหาก กฟผ. ไม่ลงนามในสัญญาภายใน 15 วัน ทำให้นายพีระพันธุ์ ยอมให้ กฟผ. เดินหน้าทำสัญญาว่าจ้างกับผู้ชนะการประมูล