energy

“ตรึงค่าไฟฟ้า” สุดท้ายหนีไม่พ้น ประชาชนต้องจ่ายแพง

ในเวลานี้กำลังเป็นที่จับตาของทุกภาคส่วน ถึงการดำเนินงานของรัฐบาลว่าจะสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยได้หรือไม่

หลังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ขายปลีกขึ้นไปที่ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 69.07 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ขณะที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นว่าไม่เป็นธรรมกับประชาชน หน่วยงานรัฐต้องดูแลประชาชน ลดภาระค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้าที่กกพ.ประกาศออกมาจึงยังไม่ใช่ราคาที่แท้จริง รัฐบาล และกระทรวงพลังงาน ต้องการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนให้มากที่สุด หรือเป็นราคาใกล้เคียงความเป็นจริงที่กระทรวงพลังงาน จัดการได้ ราว ๆ 4.20 บาทต่อหน่วย โดยใช้กลไกจัดการผสมผสาน หลายขั้นตอนกว่าการลดราคาค่าไฟปกติทั่วไป

กกพ.ชี้ให้เห็นว่า ประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงล่วงหน้าในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ค่าเอฟทีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)จะเรียกเก็บยังคงค้างอยู่ที่ 216.42 สตางค์ต่อหน่วย แต่เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน กฟผ.จึงได้เสนอขอเรียกเก็บค่าเอฟทีเพียง 64.18 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อนำไปลดภาระดอกเบี้ยที่กู้เงินมาตรึงค่าค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

จึงส่งผลให้ค่าเอฟทีที่เรียกเก็บงวดเดือนดังกล่าวขึ้นมาอยู่ที่ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ.จะยังแบกรับภาระค่าเอฟทีแทนประชาชนไว้ที่ประมาณ 152.24 สตางค์ต่อหน่วย ที่จะต้องเรียกเก็บคืนอีก 5 งวดๆ ละ 15,963 ล้านบาท โดยสิ้นเดือนเมษายน 2567 กฟผ.จะมีภาระต้นทุนคงค้างรับภาระแทนประชาชนยู่ที่ 79,814 ล้านบาท

“ตรึงค่าไฟฟ้า” สุดท้ายหนีไม่พ้น ประชาชนต้องจ่ายแพง

ทั้งนี้ หากต้องการปรับลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 4.20 บาทต่อหน่วยนั้น ต้องมาดูว่ารัฐบาลจะเลือกแนวทางใด โดยเฉพาะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับภาระค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นแทนประชาชนไปก่อน ซึ่งจะส่งผลให้กฟผ.เรียกเก็บค่าเอฟทีงวดเดือนดังกล่าวเพียง 42 สตางค์ต่อหน่วย แทนที่จะเป็น 64.18 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะทำให้กฟผ.ต้องรับภาระค่าเอฟทีค้างรับเพิ่มอีกประมาณงวดละ 13,950 ล้านบาท และจะส่งผลให้ค่าเอฟทีค้างรับสะสมหรือต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเป็น 125,950 ล้านบาท

อีกแนวทาง รัฐบาลนำเงินงบประมาณมาจ่ายชดเชยราคาค่าไฟฟ้าส่วนที่ลดประมาณ 42 สตางค์ต่อหน่วยแทน หรือต้องใช้เงินกว่า 8 พันล้านบาท ในการให้ค่าไฟฟ้าช่วง 4 เดือนอยู่ที่ 4.20 บาทต่อหน่วย หรือไม่ก็ดึง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เข้ามาแบกรับภาระร่วมด้วยการลดราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลง หรือให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผ่านเข้าโรงแยกก๊าซฯแล้วมีราคาเท่ากับก๊าซฯที่ส่งให้ปิโตรเคมี เป็นต้น

ทั้งนี้ หากรัฐบาลเลือกการยืดระยะเวลาการจ่ายคืนค่าเอฟทีค้างรับ หรือชะลอการจ่ายค่าไฟฟ้าตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง จะไม่เป็นผลดีต่อประชาชนในอนาคต เพราะจะมีอัตราดอกเบี้ยที่กฟผ.กู้เงินมาบริหารจัดการภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นไว้แทนผู้ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่เดือนกันยายน 2564-ธันวาคม 2565 รวมเป็นเงิน 150,268 ล้านบาท ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในส่วนนี้จะนำมาบวกไว้ในต้นทุนค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นด้วย

ยิ่งกฟผ.ขาดสภาพคล่องก็ต้องกู้เงินมารักษาสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น และนำอัตราดอกเบี้ยบวกเข้าไปอยู่ในค่าเอฟทีมากขึ้น สุดท้ายแล้วแทนที่ประชาชนจะจ่ายค่าไฟฟ้าตามต้นทุนที่เป็นจริง ในอนาคตอันใกล้จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นไปอีก เว้นแต่ว่ารัฐบาลจะหาทางออกให้กับกฟผ.กลับมามีสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างไร แต่ไม่ว่าวิธีไหนสุดท้ายแล้วก็เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น