sustainable

ซีเรียเผชิญภัยแล้งรุนแรงสุดในรอบ 70 ปี คน 5 ล้านเสี่ยงขาดน้ำ

ซีเรียเผชิญภัยแล้งรุนแรงสุดในรอบ 70 ปี น้ำพุหลักในกรุงดามัสกัสเหลือเพียงหยด ทำคนกว่า 5 ล้านคนเสี่ยงขาดน้ำกลางฤดูร้อน

กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียกำลังเผชิญวิกฤตน้ำครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ หลังผ่านฤดูหนาวที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 ทำให้แหล่งน้ำสำคัญอย่าง “น้ำพุอินอัลฟิเยห์” ซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนกว่า 5 ล้านคนในเมืองและปริมณฑล ลดระดับลงจนแทบไม่ไหล ชาวเมืองต้องปรับพฤติกรรมครั้งใหญ่เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์น้ำที่กำลังใกล้แตะจุดวิกฤตกลางฤดูร้อน

อะห์หมัด ดารวิช หัวหน้าหน่วยงานประปาแห่งกรุงดามัสกัส ระบุว่า ปี 2025 เป็นปีที่เมืองได้รับปริมาณน้ำฝนต่ำที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี โดยน้ำพุอินอัลฟิเยห์ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของเมือง ขณะนี้ทำงานในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ น้ำพุแห่งนี้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานของดามัสกัสมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำบาราดา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงเมืองหลวงซีเรียถึง 70%

น้ำพุดังกล่าวขึ้นอยู่กับฝนและการละลายของหิมะจากเทือกเขาที่พาดผ่านแนวพรมแดนซีเรีย-เลบานอน แต่ฤดูหนาวที่ผ่านมากลับแทบไม่มีฝนตก ส่งผลให้น้ำในระบบลดลงอย่างน่าตกใจ เจ้าหน้าที่เตือนว่า หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในช่วงฤดูร้อน ชาวเมืองจะต้องลดการใช้น้ำอย่างมากเพื่อให้เพียงพอใช้ตลอดปี

บรรยากาศในพื้นที่สะท้อนความวิกฤตชัดเจน ผู้ดูแลน้ำพุอินอัลฟิเยห์ซึ่งทำงานที่นั่นมากว่า 33 ปี เดินผ่านอุโมงค์ที่เคยเต็มไปด้วยน้ำ แต่ตอนนี้กลับแห้งสนิท กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่น้ำแห้งขนาดนี้”

ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของดามัสกัส เล่าว่า มีน้ำใช้เพียงวันละ 90 นาทีเท่านั้น จากที่เคยไหลตลอดเวลา และแม้จะมีน้ำ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถสูบขึ้นไปยังแทงก์น้ำบนหลังคาได้ เพราะไฟฟ้าดับบ่อย “ผู้คนที่นี่เคยชินกับการใช้น้ำจากก็อกที่ไหลจากน้ำพุอินอัลฟิเยห์ทุกวัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันแทบไม่เหลือแล้ว” 

แม่น้ำบาราดา ซึ่งได้ชื่อน้ำจากน้ำพุนี้ ก็แทบแห้งเหือด ทำให้พื้นที่โดยรอบได้รับผลกระทบหนัก ผู้คนจำนวนมากต้องพึ่งพารถบรรทุกน้ำเอกชนในการซื้อน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งนอกจากจะไม่สะอาดเท่าน้ำจากระบบปกติแล้ว ราคายังสูงถึง 15 ดอลลาร์ต่อครั้ง ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้เพียงไม่ถึง 100 ดอลลาร์ต่อเดือน

ไม่ใช่เพียงแค่ภัยแล้งเท่านั้นที่ทำให้สถานการณ์ทรุดหนัก ตลอดช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ซีเรียเผชิญสงครามภายในที่ทำลายทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและการบริหารจัดการน้ำพุอินอัลฟิเยห์ เคยถูกควบคุมโดยทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธ ส่งผลให้ระบบส่งน้ำพังเสียหายซ้ำซาก และยังไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่

วิกฤตน้ำในดามัสกัสครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่ยังตอกย้ำความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณ์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มายาวนาน ทั้งยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปรับตัว และบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไป