In Brief
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) กำลังเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการ “ขยะ” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของทุกชุมชน และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero การเปลี่ยนมุมมองจากระบบ “ผลิต-ใช้-ทิ้ง” ไปสู่การนำทรัพยากรกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องเริ่มต้นที่ “การคัดแยกขยะที่ต้นทาง”
ปัจจุบันหลายชุมชนยังประสบปัญหาขยะที่ถูกทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง สะสมจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว การจัดการขยะมักถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก แต่หากสามารถการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางหรือตั้งแต่ครัวเรือนได้ ก็จะช่วยการแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้อีกทางหนึ่ง เพราะไม่เพียงเป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน นำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่ายให้กับชุมชนได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีโอกาสเยื่ยมชมความสำเร็จของการแก้ปัญหาขยะของชุมชนบ้านเอื้ออาทรวังหว้า จังหวัดระยอง กว่า 522 ครัวเรือน ได้รับการยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบที่นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่ผู้นำชุมชนตัดสินใจลุกขึ้นสู้กับปัญหาขยะตกค้างและกลิ่นเหม็น โดยได้เริ่มต้นจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการพระราชดำริฯ แหลมผักเบี้ย
ชุมชนวังหว้าเริ่มต้นจากการจัดการ “ขยะอินทรีย์” ก่อน โดยนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์นํ้าปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งช่วยลดการปนเปื้อนของขยะรีไซเคิลอื่น ๆ ตามไปด้วย และมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น “ชุมชนที่ไม่มีถังขยะ”
ผลลัพธ์ที่ชัดเจน คือ หากไม่มีการคัดแยกขยะ ชุมชนวังหว้าจะเกิดขยะมากถึงวันละ 60 ตัน แต่ด้วยความสำเร็จของการแยกขยะอย่างจริงจัง ทำให้ปัจจุบันมีขยะเหลือเพียงประมาณ 10 ตันต่อวัน ที่เทศบาลวังหว้ามารับไปกำจัด กลไกสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ “ธนาคารขยะ” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรับซื้อขยะรีไซเคิลทุกประเภทในราคาสูงกว่าซาเล้งทั่วไป
โดยธนาคารขยะไม่ได้แลกเป็นเงิน แต่ให้แลกเป็นของกินของใช้ภายในครัวเรือน อาทิ มาม่า นํ้าปลา ในราคาต้นทุนที่ดีกว่าร้านค้าข้างนอก หรือเปลี่ยนเป็นแต้มสะสมที่สามารถนำไปจ่ายค่านํ้าค่าไฟได้ ทำให้มีสมาชิกเกือบ 100% ของชุมชน นอกจากนี้ยังได้ต่อยอดนำขยะไปแปรรูปเป็นสินค้าสร้างรายได้ เช่น ตะกร้าสานจากพลาสติกรีไซเคิล และอิฐตัวหนอนผสมพลาสติกใช้แล้ว
ความสำเร็จนี้ได้รับความช่วยเหลือจากหลายองค์กร รวมถึงกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ที่เข้ามาถ่ายทอดองค์ความรู้และสนับสนุนงบประมาณ ทำให้คนในชุมชนมีความรู้ในการแยกพลาสติกใช้แล้วประเภทต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จนสามารถขายพลาสติกบางประเภทได้สูงถึงกิโลกรัมละ 22 บาท จากเดิมที่ขายรวมกันได้เพียง 2-3 บาท
อีกทั้ง ศูนย์นวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อจัดการและแปรรูปวัสดุรีไซเคิลครบวงจร หรือ MRF บ้านฉาง ซึ่งเป็นแห่งแรกของไทยที่ดำเนินการในรูปแบบ Community Enterprise หรือ “ธุรกิจชุมชน” ถือเป็นศูนย์ต้นแบบที่ได้รับทุนก่อตั้งจาก กลุ่มบริษัท ดาว ราว 10 ล้านบาท และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) อีก 10 ล้านบาท โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมฝีมือคนไทย ศูนย์ฯนี้สามารถรองรับการคัดแยกขยะได้ถึง 3 ตันต่อวัน และมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการกว่า 500 ราย
หน้าที่ของศูนย์คือการเก็บขยะรีไซเคิลจากชุมชนเพื่อคัดแยกประเภทและแปรรูปด้วยนวัตกรรม โดยมี คนในชุมชน เข้ามาเป็นผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งปัจจุบันกำลังเดินหน้าสู่การทำ Upcycling เพื่อเพิ่มมูลค่าขยะ และเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับหน่วยงานและชุมชนอื่น ๆ รวมถึงการก้าวสู่การเป็น วิสาหกิจชุมชน (Community Enterprise) ที่บริหารจัดการในเชิงธุรกิจเพื่อให้ยั่งยืน
กลยุทธ์สำคัญของศูนย์ฯนี้ คือ การให้ความรู้ชาวบ้านเรื่องการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และใช้ “ราคาเป็นสิ่งจูงใจ” โดยขยะที่แยกประเภทมาอย่างถูกต้องจะได้รับราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดโปรโมชั่น เช่น แถมไข่ไก่ให้สมาชิกทุก 50 บาทที่ขายขยะรีไซเคิลได้ หรือให้แลกของใช้ของกิน
ปัจจุบันศูนย์ฯ ยังมีแผนการขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั้ง 5 เทศบาลของจังหวัดระยอง จากเดิมที่เริ่มข้ามเขตไปยังเทศบาลนครมาบตาพุดแล้ว ซึ่งการสนับสนุนของ Dow ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านว่าขยะรีไซเคิลจะถูกนำไปรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ทำให้ทุกคนตื่นรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ดังนั้น การคัดแยกขยะที่ต้นทาง โดยเฉพาะขยะพลาสติก เพื่อนำไปรีไซเคิลได้ ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาการกำจัดเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากร และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นการช่วยให้พลาสติกที่ถูกทิ้งแล้วมีชีวิตใหม่ และกลับเข้าสู่ระบบการผลิตอีกครั้ง แทนที่จะกลายเป็นขยะที่ต้องนำไปฝังกลบหรือเผา ซึ่งเป็นการสูญเสียมูลค่าของทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์ และยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การทำเป็นบรรจุภัณฑ์ใหม่ หรือการทำเป็นสินค้าอื่น ๆ ที่เพิ่มมูลค่า (Upcycling)
อีกทั้ง ยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการบรรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ของประเทศ เนื่องจากกระบวนการผลิตพลาสติกใหม่นั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณมากกว่าการนำไปรีไซเคิล ช่วยลดการใช้พลังงาน ซึ่งการรีไซเคิลพลาสติกหลายประเภท เช่น PET และ HDPE ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 50-90% เมื่อเทียบกับการผลิตพลาสติกใหม่ และยังช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด และลดการขุดเจาะหรือการสกัดวัตถุดิบ
ดังนั้น การจัดการขยะที่ต้นทางผ่านกลไกเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ได้เป็นเพียงการ “เปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้กลายเป็นโอกาส” เท่านั้น แต่ยังสร้างทั้งรายได้ และอนาคตที่ยั่งยืนให้กับชุมชน และเป็นก้าวสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง