net-zero

เหล็กสะอาดใกล้จุดเปลี่ยน ต้นทุนลด ดีมานด์หนุน นโยบายเร่งเกม

In Brief

  • อุตสาหกรรมเหล็กสะอาดโลกกำลังใกล้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีปัจจัยเร่งจากการลดลงของต้นทุนเทคโนโลยี ความต้องการเหล็กคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้น และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและนานาชาติ
  • ความต้องการเหล็กสะอาดได้รับแรงหนุนสำคัญจากการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ (Green Procurement) และความต้องการของภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน
  • อุตสาหกรรมเหล็กไทยเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวสู่การผลิตคาร์บอนต่ำจากมาตรการการค้าโลกและเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ โดยมีโจทย์หลักคือการเข้าถึงไฟฟ้าสีเขียวในราคาที่แข่งขันได้

เหล็กเป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษจนถูกเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของอารยธรรมสมัยใหม่ การขยายตัวของเมืองและความต้องการอาคารใหม่ โครงสร้างพื้นฐาน และยานยนต์ ได้ผลักดันอุปสงค์เหล็กโลกให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตเหล็กเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงปี 2000–2020

อย่างไรก็ตาม เหล็กยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ราว 7–8% ของโลก เนื่องจากกระบวนการผลิตต้องใช้ความร้อนสูง ซึ่งปัจจุบันยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะถ่านหิน ซึ่งยังถูกใช้เป็นสารเคมีในกระบวนการผลิตด้วย

ดังนั้น การลดคาร์บอนในภาคเหล็กจึงมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) และเป็นกุญแจเร่งการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนเทคโนโลยีสะอาดที่ลดลง สัญญาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น นโยบายสนับสนุน และความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก การเปลี่ยนผ่านนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เทคโนโลยีเหล็กสะอาด แนวทางนโยบายใหม่ และรูปแบบความร่วมมือระหว่างประเทศที่สร้างสรรค์ กำลังบรรจบกันในลักษณะที่ชี้ว่าโลกอาจกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนเชิงบวก ซึ่งเป็นจุดที่กลไกป้อนกลับเชิงเสริมจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง

สัญญาณดังกล่าวชัดเจนในที่ประชุมสมัชชาสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติปี 2025 (COP30) ที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล เมื่อบริษัทชั้นนำ รัฐบาล และนักเศรษฐศาสตร์ ส่งสัญญาณว่าเหล็กที่มีการปล่อยใกล้ศูนย์กำลังขยับจากการทดลองเฉพาะกลุ่ม สู่ความเป็นจริงเชิงพาณิชย์

อุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อวัสดุปล่อยต่ำ และการเข้าถึงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น กำลังส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์การลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ปัจจัยขับเคลื่อนหรือเงื่อนไขเอื้อสามประการของจุดเปลี่ยนเชิงบวกสำหรับเหล็กสะอาด ได้แก่ ต้นทุนที่แข่งขันได้ ความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้น และนโยบายสนับสนุนที่เหมาะสม

เทคโนโลยีการผลิตเหล็กขั้นต้นแบบ Direct Reduced Iron (DRI) ซึ่งทดแทนถ่านหินด้วยไฮโดรเจนสีเขียว (ผลิตจากการแยกน้ำด้วยอิเล็กโทรไลเซอร์ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน) ได้แสดงศักยภาพทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง และสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุน

แบบจำลองจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ Cambridge Econometrics และพันธมิตร ระบุว่า เทคโนโลยี DRI เริ่มครองส่วนแบ่งตลาดระยะแรก การเรียนรู้จากการลงมือทำจะช่วยลดต้นทุนอย่างรวดเร็วและเร่งการนำไปใช้ เมื่ออิเล็กโทรไลเซอร์ไฮโดรเจนเข้าสู่การดำเนินงานมากขึ้น อัตราการลดต้นทุนในระดับ 18-20% ต่อการเพิ่มผลผลิตเป็นสองเท่ามีความเป็นไปได้

ตลาดเหล็กสะอาด

ปัจจุบัน เหล็กขั้นต้นที่สะอาดคิดเป็นเพียง 0.1% ของการผลิตทั่วโลก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ กำลังการผลิตจำเป็นต้องเพิ่มจากต่ำกว่า 1 ล้านตันต่อปีในปัจจุบัน เป็นมากกว่า 100 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030

การบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยการเร่งอุปสงค์ ในช่วงที่ผ่านมา การขาดตลาดสำหรับเหล็กสะอาดทำให้การลงทุนติดอยู่ในปัญหา แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป จากการผสานกันของการจัดซื้อโดยภาครัฐและภาคธุรกิจ รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ

การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสามารถเป็นตัวเร่งตลาดเหล็กสะอาดที่ทรงพลัง เนื่องจากรัฐบาลมักมีสัดส่วนอุปสงค์เหล็กราว 25-35% ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และโครงการสาธารณะอื่น ๆ งานวิจัยเชิงแบบจำลองชี้ว่า เพียงกำหนดสัดส่วนการจัดซื้อเหล็กสะอาดโดยภาครัฐ 10% ควบคู่กับเงินอุดหนุนระยะแรก ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงเร่งอย่างมีนัยสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ และช่วยปิดช่องว่างต้นทุนเมื่อเทียบกับการผลิตเหล็กแบบดั้งเดิม

ขณะเดียวกัน บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การขนส่งทางเรือ การก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค ต่างส่งสัญญาณเพิ่มความต้องการเหล็กสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3)

แรงดึงจากภาคธุรกิจนี้ เมื่อผสานกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และวัสดุที่กำลังก่อตัว รวมถึงกติกาความสามารถในการเชื่อมโยงกัน (การวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ฝังอยู่ในเหล็กในระดับสากล) ซึ่งมีการหารือในเวที COP30 จะช่วยสร้างความชัดเจนและสนามแข่งขันที่เท่าเทียมสำหรับนักลงทุน ผู้ผลิต และผู้บริโภค

ไทยอยู่ตรงไหนในเกม “เหล็กสะอาด”

ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี พ.ศ. 2608 และ Carbon Neutrality ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยอุตสาหกรรมการผลิตเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 20.39% ของทั้งประเทศ หรือราว 53.14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กเป็นต้นทางสำคัญของห่วงโซ่อุปทานคาร์บอนสูงในภาคก่อสร้าง ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

แรงกดดันต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากมาตรการการค้า เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป และความต้องการสินค้ารอยเท้าคาร์บอนต่ำในตลาดโลก ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเหล็กไทยเผชิญแรงกดดันด้านโครงสร้างจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวและการแข่งขันจากเหล็กราคาถูกนำเข้า โดยปี พ.ศ. 2566 ความต้องการใช้เหล็กในประเทศอยู่ที่ 16.33 ล้านตัน ลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเป็นระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษ

ด้านเทคโนโลยี ไทยพึ่งพาเตาหลอมไฟฟ้า (EAF) เป็นหลัก ซึ่งปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเตาหลอมแบบ BF แต่ยังติดโจทย์ต้นทุนไฟฟ้าและความเข้มการปล่อยของระบบไฟฟ้า โดย Grid Emission Factor อยู่ที่ 0.4758 tCO2/MWh ทำให้ “ไฟฟ้าสีเขียวราคาที่แข่งขันได้” กลายเป็นตัวแปรสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน

4 ประเด็นที่ไทยต้องเร่ง หากต้องการเข้าสู่ตลาดเหล็กปล่อยต่ำ

ระบบข้อมูลคาร์บอนและการทวนสอบ ยกระดับการเก็บข้อมูลและรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น ISO 14064 และ ISO 14067 เพื่อรองรับการรายงาน Embedded Emissions

อุปสงค์เริ่มต้น (Early demand) ใช้กลไก Green Procurement ภาครัฐและการจัดซื้อของเอกชน เพื่อสร้างตลาดระยะแรกให้เหล็กคาร์บอนต่ำ

โครงสร้างไฟฟ้าสะอาด เพิ่มการเข้าถึงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อลด Scope 2 ของโรงงาน EAF

กลไกการเงินสีเขียว เชื่อม Thailand Taxonomy กับสินเชื่อ/ตราสารสีเขียว ลดต้นทุนการลงทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในห่วงโซ่อุปทาน