ชูไกแตกไลน์รับเหมาฐานราก/โยธา สบช่องรัฐเร่งคลอดเมกะโปรเจ็กต์

01 ก.ย. 2559 | 06:30 น.
ชูไก สบช่องรัฐเร่งดันประมูลงานโครงการเมกะโปรเจ็กต์ แตกไลน์จากเครื่องจักรกลหนักสู่ผู้รับเหมางานฐานรากและงานโยธาซุ่มสะสมทีมงานมืออาชีพ อาศัยเครือข่ายพันธมิตรตั้งเป้าลุยรับงานปีนี้ราว 70 ล้านเป้าปี 60 ขอแชร์รายได้ 300 ล้าน ชี้อนาคตหวังพลิกรายได้งานรับเหมาขึ้นเป็น50%

นายชำนาญ งามพจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าทางบริษัทมีนโยบายเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงมีแผนที่จะลดการลงทุนในกลุ่มเครนลงและรักษาระดับรายได้แทน เพื่อต้องการให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จึงได้แตกไลน์สู่การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาอย่างเต็มตัว โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในด้านเครื่องจักรประเภทรถขุดเจาะ (Drilling Rig & Wall Grab) จาก XCMG บริษัทจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถเครนและเครื่องจักรกลหนักขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรยี่ห้อนี้แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนและได้รับการสนับสนุนจาก XCMG เป็นเครื่องจักรประเภทรถขุดเจาะ Hydraulic Drilling Rig สำหรับขุดเจาะเสาเข็มตั้งแต่ขนาด 600 ถึง 2200 มม. จำนวน 12 คัน และรถขุดเจาะสำหรับการสร้างกำแพงดินเพื่อทางลอดทางแยกและอื่นๆ Hydraulic Diaphragm Wall Grab จำนวน 6 คัน พร้อมทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ตรงด้านงานฐานรากกว่า 20 ปีเข้ามาร่วมทีม

โดยจะดำเนินการในนาม บริษัท เดอะเครน เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจให้เช่ารถเครน และเครื่องจักรกลหนักมากว่า 30 ปี ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ครอบคลุม และรอบด้านยิ่งขึ้น จากเดิมเป็นเพียงผู้ให้เช่าเครื่องจักรที่มีเครื่องจักรให้บริการทั้งรถครอเลอร์เครน (Crawler Crane) รถเครนไฮดรอลิก รถขุด (Excavator) เครื่องลม (Air Compressor) เครื่องไฟ (Generator) และเครื่องจักรกลหนักประเภทต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นผู้ติดตั้งวินเทอร์บายให้กับ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)อยู่แล้ว

ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเตรียมเร่งพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท ทางบริษัทจึงเห็นโอกาสเพราะมีความพร้อมทั้งบุคลากรมืออาชีพที่มีประสบการณ์ตรงด้านงานฐานราก บวกกับความพร้อมด้านเครื่องจักรที่มีอยู่แล้วอย่างหลากหลาย จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีคุณภาพและไว้วางใจได้ ในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธา อีกทั้งการแข่งขันในตลาดมีน้อยหรือแทบไม่มีคู่แข่ง เพราะผู้รับเหมางานฐานรากมีงานเต็มกำลังแล้ว ทำให้เป็นช่องว่างในการที่จะรับงาน โดยเบื้องต้นเน้นรับงานจากพันธมิตรที่เป็นลูกค้างานเครน ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ที่ได้รับงานสาธารณูปโภคอยู่แล้ว และในอนาคตเตรียมขยายสู่การรับเหมาก่อสร้างงานอาคารต่อไป

“คาดว่า ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า จะสามารถได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดจากงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นงานโครงการภาครัฐ อาทิ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 400,000 ล้านบาท โดยงานฐานรากคิดเป็นประมาณ 10 % ของโครงการก่อสร้างโดยรวมหรือกว่า 4 หมื่น ล้านบาท บริษัทจะเน้นรับงานในต่างจังหวัด ซึ่งปีนี้จะจำกัดการรับงานให้ได้ประมาณ 50-60 ล้านบาทและปี 2560 คาดว่าจะรับงานประมาณ 300 ล้านบาทหรือ 30% ของรายได้ โดยรายได้รวมของเครนต่อไปจะเมนเทนอยู่ในระดับ 800-900 ล้านบาทเป็นขาย 30% และให้เช่า 40% ส่วนงานรับเหมาตั้งเป้าว่า 3 ปีผ่านไปสัดส่วนรับเหมาจะอยู่ที่ 50%” นายชำนาญกล่าวทิ้งท้าย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,188 วันที่ 1 - 3 กันยายน พ.ศ. 2559