KEY
POINTS
การเปิดศูนย์ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริในการต่อยอดแนวคิด ESG สู่โครงการรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับไร่แสนชัยและบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ซึ่งต่างเป็นผู้เล่นสำคัญใน ecosystem ของกาแฟไทย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ฟื้นฟูป่า และสร้างโอกาสใหม่ให้กับคนในชุมชนผ่านพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงอย่างกาแฟพิเศษ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา กาแฟได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการอนุรักษ์ป่าในภาคเหนือ กระบวนการปลูกที่ต้องอาศัยร่มเงาของไม้ใหญ่ ช่วยป้องกันปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและลดการทำไร่เลื่อนลอย ขณะเดียวกันราคาของกาแฟพิเศษที่สูงกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้มั่นคงในพื้นที่ของตนเอง ลดการย้ายถิ่นออกจากภูเขาไปทำงานในเมือง จนเกิดปรากฏการณ์ “คืนถิ่น” ของแรงงานรุ่นใหม่ในหลายจังหวัดภาคเหนือ
นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff ของแสนสิริ ระบุว่า กาแฟไม่ใช่เพียงสินค้าเกษตร แต่เป็น “เมล็ดเล็กๆ” ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในระดับโครงสร้างชุมชนได้ หากมีการจัดการที่ดีพอ แสนสิริสนับสนุนโครงการด้านกาแฟมาตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่การนำกาแฟผาฮี้มาทำเป็น Sansiri Signature Blend เสิร์ฟในเลานจ์และโรงแรมของบริษัท
กระทั่งล่าสุดได้เดินหน้าโครงการ Future Harvest สนับสนุนต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีให้เกษตรกรในพื้นที่กัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมองหาแนวทางต่อยอดที่ยั่งยืน และนำไปสู่การตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้
แสนสิริยังได้รับคำแนะนำจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนากิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบ “วิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่แสวงหากำไร” ที่สามารถสร้างรายได้ด้วยตนเอง โดยมุ่งให้ชุมชนเป็นผู้รับผลประโยชน์เต็มรูปแบบ ทั้งด้านรายได้ องค์ความรู้ และโอกาสในการพัฒนาผลผลิตในอนาคต โมเดลลักษณะนี้ถูกวางให้เป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปยังพืชเศรษฐกิจอื่นได้ในอนาคต
ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่รวบรวมองค์ความรู้ทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นนํ้าอย่างการเพาะปลูก การจัดการสวน การคัดเลือกเมล็ด ไปจนถึงการแปรรูป การควบคุมคุณภาพ และการทำตลาดในปลายนํ้า นอกจากนี้ยังมีแปลงกาแฟต้นแบบบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ซึ่งจะเป็นสถานที่ทดลองและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทยเป็นที่ปรึกษา
นายแสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate หนึ่งในเกษตรกรผู้นำร่องในพื้นที่ อธิบายว่า กาแฟอาราบิก้าภาคเหนือต้องปลูกภายใต้ร่มไม้จำนวนมาก ทำให้ระบบนิเวศบริเวณยอดดอยยังคงความสมบูรณ์ ช่วยรักษาคุณภาพดิน แหล่งนํ้า และป่าต้นนํ้า การมีศูนย์กลางองค์ความรู้ในพื้นที่จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชน เพราะจะเป็นที่ถ่ายทอดเทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดเลือกเมล็ดที่ได้มาตรฐานสากลให้เกษตรกรชาวดอยสามารถพัฒนาไร่ของตนเองได้อย่างยั่งยืน
นายบริรักษ์ อภิขันติกุล ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จุดอ่อนของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่คือขาดความรู้เรื่องการจัดการกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว ทั้งเรื่องการตาก การหมัก การคัดเกรด รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้กาแฟขยับจากระดับเชิงพาณิชย์สู่ระดับ Specialty ซึ่งมีคะแนนคุณภาพ 85+ ของ SCA และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 3-5 เท่า ศูนย์การเรียนรู้นี้จะช่วยปิดช่องว่างดังกล่าว และสร้างมาตรฐานใหม่ให้ชุมชนในภาคเหนือได้เติบโตไปพร้อมกับตลาดโลก
ในปลายนํ้า นายอัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ มองว่า ศูนย์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างเกษตรกรคุณภาพ แต่ยังเชื่อมโยงสู่โรงคั่ว ร้านกาแฟ และนักท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ต้องการเรียนรู้เส้นทางกาแฟตั้งแต่ต้นจนถึงถ้วย เป็นอีกช่องทางสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณค่าของกาแฟไทย
ทั้งนี้ แสนสิริตั้งเป้าให้ศูนย์นี้ก้าวสู่โมเดลต้นแบบภายใน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2569-573 โดยนอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชุมชนแล้ว ยังเตรียมผลักดันองค์ความรู้สู่หลักสูตรระดับมหาวิทยาลัยภาคเหนือ เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษ และพัฒนา ecosystem ของกาแฟไทยให้ครบวงจรยิ่งขึ้น เป้าหมายใหญ่คือยกระดับกาแฟไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถแข่งขันในระดับเอเชียและระดับโลก โดยใช้คุณภาพ ความยั่งยืน และเรื่องราวของชุมชนเป็นจุดขายสำคัญ
ข้อมูลจากสมาคมกาแฟพิเศษไทยเผยว่า มูลค่าตลาดกาแฟพิเศษไทยเติบโตต่อเนื่องและปัจจุบันมีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นนํ้าจนถึงธุรกิจร้านกาแฟและอุปกรณ์ โดยปัจจัยสำคัญคือความต้องการกาแฟคุณภาพสูงจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้กาแฟพิเศษไทยกลายเป็นที่ต้องการในตลาดโลก และกลายเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพจะขยายตัวอีกมากในอนาคต
โดยแสนสิริเชื่อว่า “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” จะกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาพืชเศรษฐกิจไทยที่สร้างรายได้ยั่งยืน ฟื้นฟูป่าต้นนํ้า และดึงคนรุ่นใหม่กลับสู่บ้านเกิด พร้อมทั้งสร้างแนวทางใหม่ให้ภาคเกษตรของไทยสามารถยกระดับการแข่งขันผ่านคุณภาพและความยั่งยืนอย่างแท้จริง
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิ จปีที่ 45 ฉบับที่ 4,150 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568