‘แสนสิริ’จับมือพันธมิตร ตั้งศูนย์กาแฟดอย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่

18 พ.ย. 2568 | 23:46 น.
อัปเดตล่าสุด :19 พ.ย. 2568 | 00:02 น.

“แสนสิริ” เดินหน้าบทบาทองค์กรเพื่อสังคมครั้งใหญ่ เปิด “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “ปอดของเอเชีย” แหล่งเพาะปลูกกาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูงของไทยมานานหลายสิบปี

KEY

POINTS

  • แสนสิริร่วมมือกับพันธมิตรในวงการกาแฟไทย จัดตั้ง "ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร" เพื่อต่อยอดแนวคิด ESG
  • มีเป้าหมายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้ชุมชน และส่งเสริมการฟื้นฟูป่าผ่านการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้
  • ศูนย์ฯ จะเป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การปลูก การแปรรูป จนถึงการตลาด เพื่อยกระดับคุณภาพกาแฟไทยสู่ตลาดโลก

การเปิดศูนย์ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริในการต่อยอดแนวคิด ESG สู่โครงการรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับไร่แสนชัยและบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ซึ่งต่างเป็นผู้เล่นสำคัญใน ecosystem ของกาแฟไทย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ฟื้นฟูป่า และสร้างโอกาสใหม่ให้กับคนในชุมชนผ่านพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงอย่างกาแฟพิเศษ

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา กาแฟได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการอนุรักษ์ป่าในภาคเหนือ กระบวนการปลูกที่ต้องอาศัยร่มเงาของไม้ใหญ่ ช่วยป้องกันปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและลดการทำไร่เลื่อนลอย ขณะเดียวกันราคาของกาแฟพิเศษที่สูงกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้มั่นคงในพื้นที่ของตนเอง ลดการย้ายถิ่นออกจากภูเขาไปทำงานในเมือง จนเกิดปรากฏการณ์ “คืนถิ่น” ของแรงงานรุ่นใหม่ในหลายจังหวัดภาคเหนือ

สมัชชา พรหมศิริ

นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff ของแสนสิริ ระบุว่า กาแฟไม่ใช่เพียงสินค้าเกษตร แต่เป็น “เมล็ดเล็กๆ” ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในระดับโครงสร้างชุมชนได้ หากมีการจัดการที่ดีพอ แสนสิริสนับสนุนโครงการด้านกาแฟมาตั้งแต่ปี 2557 ตั้งแต่การนำกาแฟผาฮี้มาทำเป็น Sansiri Signature Blend เสิร์ฟในเลานจ์และโรงแรมของบริษัท

กระทั่งล่าสุดได้เดินหน้าโครงการ Future Harvest สนับสนุนต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีให้เกษตรกรในพื้นที่กัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมองหาแนวทางต่อยอดที่ยั่งยืน และนำไปสู่การตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้

แสนสิริยังได้รับคำแนะนำจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนากิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบ “วิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่แสวงหากำไร” ที่สามารถสร้างรายได้ด้วยตนเอง โดยมุ่งให้ชุมชนเป็นผู้รับผลประโยชน์เต็มรูปแบบ ทั้งด้านรายได้ องค์ความรู้ และโอกาสในการพัฒนาผลผลิตในอนาคต โมเดลลักษณะนี้ถูกวางให้เป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปยังพืชเศรษฐกิจอื่นได้ในอนาคต

ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่รวบรวมองค์ความรู้ทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นนํ้าอย่างการเพาะปลูก การจัดการสวน การคัดเลือกเมล็ด ไปจนถึงการแปรรูป การควบคุมคุณภาพ และการทำตลาดในปลายนํ้า นอกจากนี้ยังมีแปลงกาแฟต้นแบบบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ซึ่งจะเป็นสถานที่ทดลองและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทยเป็นที่ปรึกษา

นายแสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate หนึ่งในเกษตรกรผู้นำร่องในพื้นที่ อธิบายว่า กาแฟอาราบิก้าภาคเหนือต้องปลูกภายใต้ร่มไม้จำนวนมาก ทำให้ระบบนิเวศบริเวณยอดดอยยังคงความสมบูรณ์ ช่วยรักษาคุณภาพดิน แหล่งนํ้า และป่าต้นนํ้า การมีศูนย์กลางองค์ความรู้ในพื้นที่จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชน เพราะจะเป็นที่ถ่ายทอดเทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดเลือกเมล็ดที่ได้มาตรฐานสากลให้เกษตรกรชาวดอยสามารถพัฒนาไร่ของตนเองได้อย่างยั่งยืน

นายบริรักษ์ อภิขันติกุล ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จุดอ่อนของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่คือขาดความรู้เรื่องการจัดการกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว ทั้งเรื่องการตาก การหมัก การคัดเกรด รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้กาแฟขยับจากระดับเชิงพาณิชย์สู่ระดับ Specialty ซึ่งมีคะแนนคุณภาพ 85+ ของ SCA และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 3-5 เท่า ศูนย์การเรียนรู้นี้จะช่วยปิดช่องว่างดังกล่าว และสร้างมาตรฐานใหม่ให้ชุมชนในภาคเหนือได้เติบโตไปพร้อมกับตลาดโลก

ในปลายนํ้า นายอัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ มองว่า ศูนย์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างเกษตรกรคุณภาพ แต่ยังเชื่อมโยงสู่โรงคั่ว ร้านกาแฟ และนักท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ต้องการเรียนรู้เส้นทางกาแฟตั้งแต่ต้นจนถึงถ้วย เป็นอีกช่องทางสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณค่าของกาแฟไทย

‘แสนสิริ’จับมือพันธมิตร ตั้งศูนย์กาแฟดอย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่

ทั้งนี้ แสนสิริตั้งเป้าให้ศูนย์นี้ก้าวสู่โมเดลต้นแบบภายใน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2569-573 โดยนอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชุมชนแล้ว ยังเตรียมผลักดันองค์ความรู้สู่หลักสูตรระดับมหาวิทยาลัยภาคเหนือ เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษ และพัฒนา ecosystem ของกาแฟไทยให้ครบวงจรยิ่งขึ้น เป้าหมายใหญ่คือยกระดับกาแฟไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถแข่งขันในระดับเอเชียและระดับโลก โดยใช้คุณภาพ ความยั่งยืน และเรื่องราวของชุมชนเป็นจุดขายสำคัญ

ข้อมูลจากสมาคมกาแฟพิเศษไทยเผยว่า มูลค่าตลาดกาแฟพิเศษไทยเติบโตต่อเนื่องและปัจจุบันมีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นนํ้าจนถึงธุรกิจร้านกาแฟและอุปกรณ์ โดยปัจจัยสำคัญคือความต้องการกาแฟคุณภาพสูงจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้กาแฟพิเศษไทยกลายเป็นที่ต้องการในตลาดโลก และกลายเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพจะขยายตัวอีกมากในอนาคต

โดยแสนสิริเชื่อว่า “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” จะกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาพืชเศรษฐกิจไทยที่สร้างรายได้ยั่งยืน ฟื้นฟูป่าต้นนํ้า และดึงคนรุ่นใหม่กลับสู่บ้านเกิด พร้อมทั้งสร้างแนวทางใหม่ให้ภาคเกษตรของไทยสามารถยกระดับการแข่งขันผ่านคุณภาพและความยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิ จปีที่ 45 ฉบับที่ 4,150 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568