ในวันที่โลกเผชิญความเปราะบางจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ต้องร่วมขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากอาคารและที่อยู่อาศัยทั่วโลกเป็นแหล่งกำเนิดคาร์บอนราว 30% ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยเฉพาะในประเทศไทย ภาคที่อยู่อาศัยถือเป็นผู้บริโภคพลังงานถึงราว 29% ของทั้งระบบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง
โดยภาครัฐตั้งเป้าชัดไทยจะเป็น “ประเทศคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality)” ภายในปี 2050 และก้าวต่อไปสู่ “การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)” ในปี 2065 โดยมีแนวโน้มที่จะเร่งเป้าหมายให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนปรับตัว ทั้งยังเตรียมมาตรการจูงใจและบทลงโทษควบคู่กัน
การสัมมนา “บ้านยั่งยืน อยู่อย่างสบาย สร้างมูลค่าแห่งอนาคต” ที่จัดขึ้นโดยสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (HBA) โดยได้เชิญวิทยากรจากทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท เอสซีจี ลิฟวิ่ง แอนด์ เฮ้าสซิ่ง โซลูชัน จำกัด (SCG) สะท้อนภาพความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เริ่มขับเคลื่อนแนวทางสู่การพัฒนา “Green & Smart Home” ให้กับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของภาคอสังหาฯ วันนี้ไม่ใช่แค่การสร้างบ้านที่สวยและขายได้ แต่ต้องเป็นบ้านที่อยู่สบายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง พร้อมเล่าว่า สมาคมฯ ได้ร่วมมือกับ Asia Pacific Intelligent Green Building Alliance (APIGBA) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และยกระดับมาตรฐานอาคารอัจฉริยะและอาคารเขียวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เวทีระดับภูมิภาคอย่าง APIGBA Awards 2025 ที่จัดขึ้นที่มาเก๊า แสดงให้เห็นทิศทางของอาคารอนาคตที่เน้น “ผลลัพธ์การใช้งานจริง” (Performance) มากกว่าเพียงรูปลักษณ์ของการออกแบบ อาคารที่ได้รับรางวัลระดับแพลทินัม เช่น TPark ในไต้หวัน และ GDCEG Innovation Tower ในจีน ต่างนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ IBMS, BEMS, Big Data และ AI เข้ามาช่วยจัดการพลังงาน ลดการใช้ไฟฟ้ากว่า 25% ต่อปี และรีไซเคิลนํ้าเสียกลับมาใช้ได้กว่า 30% ของปริมาณทั้งหมด
นายสุนทรกล่าวว่า “เราต้องทำให้บ้านไทยก้าวสู่มาตรฐานเดียวกันกับอาคารสีเขียวระดับโลก โดยไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่ต้องวัดได้จริงทั้งด้านพลังงาน สุขภาวะ และคาร์บอน”
พร้อมเสนอให้รัฐบาลจัดทำ Green Housing Standard แห่งชาติและส่งเสริม Green Finance / Carbon Credit เพื่อให้โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น
ด้าน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แสดงบทบาทผู้นำในด้านการประหยัดพลังงานภาคครัวเรือน ผ่าน “กลยุทธ์ 3 อ.” ได้แก่ อุปกรณ์ (Appliances), อาคาร (Archite cture) และ อุปนิสัย (Attitude) โดยเปิดตัวโครงการ ฉลากบ้านและอาคารเบอร์ 5 ที่ยกระดับเกณฑ์ประสิทธิภาพพลังงานเหนือข้อกำหนดตามกฎหมาย (Building Energy Code: BEC)
นายนภัทร เตชวุฒิกร หัวหน้าแผนกส่งเสริมประสิทธิภาพภาคอาคาร ฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฝผ.) กล่าวว่า บ้านที่ผ่านเกณฑ์ “เบอร์ 5” สามารถลดการใช้พลังงานได้กว่า 60% เมื่อเทียบกับบ้านมาตรฐานทั่วไป แม้จะมีต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 5-10% แต่สามารถคืนทุนได้ภายใน 7 ปี ขณะที่ภาพรวมโครงการช่วยลดพลังงานได้กว่า 37 GWh ต่อปี หรือเทียบเท่าลดค่าไฟรวม 185 ล้านบาทต่อปี
เพื่อขยายผลในวงกว้าง กฟผ. ยังร่วมกับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดตัว “สินเชื่อบ้านเบอร์ 5” มอบดอกเบี้ยพิเศษแก่ผู้พัฒนาโครงการที่ผ่านเกณฑ์ และเตรียมต่อยอดสู่สินเชื่อรีโนเวตบ้านประหยัดพลังงานในอนาคต
“เราต้องสร้างแรงจูงใจทั้งรางวัลและบทลงโทษที่ชัดเจน เพื่อให้ภาคอสังหาฯ ปรับตัวจริง ไม่ใช่เพียงทำเพื่อการตลาด” นายนภัทรกล่าว
ขณะเดียวกัน นายสาธิต ชัยกิตติกรณ์ Associate Director - Technical Sales บริษัท เอสซีจี ลิฟวิ่ง แอนด์ เฮ้าสซิ่ง โซลูชัน จำกัด เปิดเผยว่า SCG เดินหน้าโซลูชัน “ONNEX” ภายใต้แนวคิด Net Zero Home, Wellness Home และ Smart Automate Home เพื่อสร้างบ้านที่ยั่งยืนและอยู่สบาย โดยเชื่อมโยงระบบพลังงานอัจฉริยะเข้ากับการใช้ชีวิตจริง
จากประสบการณ์กว่า 19 ปีของ SCG ในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันได้ติดตั้ง SCG Solar Roof Solutions ไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์ทั่วประเทศ ทั้งระบบ On-Grid ที่คืนทุนภายใน 3-4 ปี และ Hybrid System ที่ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ต้นทุนสูงกว่า แต่ช่วยให้บ้านใกล้เคียงภาวะ Net Zero ได้จริง
นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบ Active Air Quality (AAQ) และ Active Airflow System เพื่อสร้างแรงดันอากาศบวกป้องกันฝุ่น PM2.5 และลดอุณหภูมิในบ้านได้ 2-5 องศาเซลเซียส พร้อมระบบ Smart Living X Application ที่ควบคุมอุปกรณ์พลังงานทั้งหมดได้ในแอปเดียว
“บ้านในอนาคตต้องคิดทั้งเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความสะดวก เราเชื่อว่าการเริ่มจากบ้านของตัวเองคือจุดเริ่มต้นของสังคมคาร์บอนต่ำ” นายสาธิต กล่าว
นายสุนทรยังเปิดเผยว่า สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรได้ร่วมกับ APIGBA Network จัดทำ “Low Carbon Housing Roadmap 2026-2030” เพื่อผลักดันโครงการนำร่อง Smart & Sustainable Housing ในไทย พร้อมเสนอให้รัฐพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสินเชื่อสีเขียวแก่ผู้ประกอบการ
“จุดแข็งของไทยคือดีไซน์ที่เหมาะกับภูมิอากาศและต้นทุนที่สมเหตุสมผล แต่สิ่งที่ต้องเร่งคือการใช้เทคโนโลยีและระบบข้อมูล (Data Platform) ในการบริหารจัดการพลังงาน” นายสุทรกล่าว พร้อมยํ้าว่า “บ้านที่ดีไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดเริ่มต้นของสังคมยั่งยืนและอนาคตที่เราสร้างร่วมกัน”
ท่ามกลางแรงกดดันจากเป้าหมายคาร์บอนโลก การปรับตัวของภาคอสังหา ริมทรัพย์ไทยจึงไม่ใช่เพียงเพื่อตามเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกเท่านั้น แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตของอุตสาหกรรม เมื่อบ้านทุกหลังได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองสีเขียวและสังคม Net Zero ที่จับต้องได้จริง
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,149 วันที่ 16 -19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568