KEY
POINTS
ในช่วงฤดูมรสุมที่ปริมาณฝนเฉลี่ยสูงขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลักอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภัยจากน้ำท่วมและพายุฤดูร้อนกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องรับมืออย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและผู้อยู่อาศัย
“การบริหารจัดการน้ำ” ไม่ใช่เพียงภารกิจของภาครัฐอีกต่อไป แต่เป็นหน้าที่ของผู้พัฒนาและผู้บริหารโครงการที่ต้องมีระบบเฝ้าระวังและรับมือเชิงรุก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงซ้ำซาก เช่น ย่านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวริมชายฝั่ง
นางสาวนฤมล อาภรณ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารอาคาร บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการวางระบบเฝ้าระวังน้ำท่วมและพายุในเชิงรุก โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศ ระดับน้ำ และสถิติภัยธรรมชาติจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความเสี่ยงรายพื้นที่ ก่อนกำหนดแผนรับมือเฉพาะจุดและจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือให้พร้อมใช้งาน
ทั้งนี้ ปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทยมักเกิดจากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ น้ำฝนจากฤดูมรสุม น้ำเหนือที่ไหลบ่ามาจากภาคเหนือ และน้ำหนุนจากทะเล โดยเฉพาะน้ำเหนือที่มักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและใช้เวลาระบายนาน การเข้าใจธรรมชาติของน้ำแต่ละประเภทจึงเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
ดำเนินการลอกท่อ กำจัดขยะในบ่อพักน้ำ และตรวจเช็กบ่อดักขยะทุก 3 เดือน เพื่อป้องกันการอุดตันของระบบ พร้อมสำรวจแนวทางน้ำรอบโครงการ เพื่อให้สามารถระบายน้ำออกได้เร็วหากเกิดฝนตกหนัก
อย่างเช่น พลัสฯ ได้ติดตั้ง “ปั๊มพญานาค” และปั๊มน้ำเคลื่อนที่แบบ Mobile รวมถึงกระสอบทรายสำรองสำหรับกั้นน้ำในจุดเสี่ยง พร้อมจัดทีมเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงพายุเข้า
ตรวจสอบหลังคา รางน้ำ และแนวกันซึมในอาคารสูง รวมถึงระบบไฟฟ้าสำรองและปั๊มน้ำให้พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมและไฟฟ้าลัดวงจรในช่วงฝนตกหนัก
จัดทำแผนที่จุดเสี่ยงของโครงการ เช่น พื้นที่ลุ่มต่ำหรือใกล้แนวคลอง พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่เทศบาล เพื่อบูรณาการการระบายน้ำและช่วยเหลือหากเกิดเหตุรุนแรง
ตั้งระบบแจ้งเตือนสถานการณ์ผ่านกลุ่มโครงการและช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกบ้านทราบข้อมูลอย่างทันท่วงที ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ช่วยลดความตื่นตระหนกและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการในภาวะฉุกเฉิน
“การเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติไม่ใช่แค่การดูแลโครงสร้างพื้นฐาน แต่ต้องบริหารความกังวลของคนไปพร้อมกัน” นางสาวนฤมล กล่าว
พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารจัดการน้ำในยุคนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาหลังเกิดเหตุอีกต่อไป แต่คือการออกแบบการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเป็นระบบ การเตรียมพร้อมในระดับอาคารและระดับชุมชนจึงมีบทบาทสำคัญต่อการลดความเสียหายทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจ
ในระยะยาว การลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง เพราะความพร้อมรับมือสามารถกลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพของแบรนด์ที่อยู่อาศัยยุคใหม่อย่างแท้จริง