รู้จักกับ “บริการตรวจสุขภาพบ้าน” ในยุคที่คนต้องการความปลอดภัย

12 ก.ค. 2568 | 10:00 น.

จากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนอยู่อาศัยตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยในบ้านมากขึ้น บริการตรวจสุขภาพบ้านจึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง

เทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญแค่ความสวยงามหรือทำเลที่ตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “ความปลอดภัย” ที่ซ่อนอยู่ในทุกระบบของบ้านหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อต้นปี 2568 นอกจากนี้ ข้อมูลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในปี 2566 พบว่ามีเหตุอัคคีภัยในบ้านเรือนกว่า 4,000 ครั้งทั่วประเทศ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการละเลยการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าที่เก่าและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

ด้วยเหตุนี้ บริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงได้พัฒนาบริการใหม่ที่มีชื่อว่า “ตรวจสุขภาพบ้าน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่หันมาสนใจการดูแลบ้านเชิงป้องกันมากขึ้น แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยซ่อมแซม โดยบริการนี้เน้นการตรวจสอบระบบสำคัญภายในบ้านอย่างครอบคลุม ตั้งแต่ระบบไฟฟ้า, ประปา, แก๊ส ไปจนถึงโครงสร้างและงานตกแต่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

ในช่วงแรก ทัช พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งเน้นการให้บริการแบบ B2B สำหรับกลุ่มผู้พัฒนาโครงการ (Developer), นิติบุคคลอาคารชุด, และนักลงทุน เพื่อให้สามารถนำบริการนี้ไปเพิ่มมูลค่าและส่งมอบความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการได้ โดยบริการนี้ครอบคลุมการตรวจสอบในระบบต่าง ๆ ดังนี้

  • ระบบไฟฟ้า ตรวจสอบความสมบูรณ์ของตู้โหลดและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, วัดอุณหภูมิด้วย Thermoscan, ตรวจสอบแรงดันและขนาดสายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน
  • ระบบน้ำ ตรวจหาสาเหตุของน้ำรั่วซึม, ตรวจสอบสภาพปั๊มน้ำ ท่อน้ำทิ้ง และถังเก็บน้ำ
  • ระบบแก๊ส ทดสอบการรั่วไหลของแก๊ส, ตรวจสอบสภาพสายส่งแก๊สและหัวปรับแรงดัน
  • โครงสร้าง ตรวจสอบความเสียหายของผนัง พื้น ประตู และอุปกรณ์ภายในบ้าน เช่น ลูกบิดหรือบานพับ

นอกจากนี้ ทัช พร็อพเพอร์ตี้ ยังเน้นยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ ผ่านการอบรมจากสถาบัน Plus Eduplex ซึ่งการันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับสากล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการตรวจสอบจะถูกต้อง แม่นยำ และมีรายงานสรุปพร้อมคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนดูแลบ้านในระยะยาว

การเข้ามาของบริการ “ตรวจสุขภาพบ้าน” ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการดูแลที่อยู่อาศัยในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และช่วยสร้างความแตกต่างให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอีกด้วย