ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากเหตุแผ่นดินไหว นโยบายกำแพงภาษีรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ผู้ประกอบการแต่ละค่ายต้องปรับตัว
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อจากนี้คาดว่าจะมีความท้าทาย และความไม่แน่นอนเกิดขึ้นตลอดเวลา
ทุกองค์กรต้องปรับตัว ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ เช่นเดียวกับ อนันดาฯ ได้มีการวางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมรองรับ ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
มองว่ามาตรการต่างๆ ที่ทางภาครัฐออกมาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถเป็นตัวช่วยให้ความมั่นใจกลับมาดีขึ้น เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงทุกอย่างก็จะกลับสู่ภาวะปกติ และเชื่อมั่นว่า “เมืองยังคงไปต่อ” เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการอาศัยในเมือง อยู่ใกล้แหล่งงาน แหล่งช้อปปิ้ง มีความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงจำเป็นต้องเลือกอาศัยในคอนโดมิเนียมที่มีราคาจับต้องได้ เพราะเมือง คือ ศูนย์รวมแห่งการพัฒนาด้านการศึกษาแหล่งความรู้ แหล่งงาน และองค์กรชั้นนำ
อนันดาฯ ยังคงเน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินไว้อย่างเข้มงวด โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน ณ สิ้นปี 2567 ไว้ที่ 1.22 เท่า และยึดมั่นในการชำระคืนหุ้นกู้ทุกงวดตามกำหนด โดยที่ผ่านมาได้ชำระคืนหุ้นกู้เต็มจำนวนตามกำหนด 100% ในปี 2566 - ไตรมาส 1/68 มูลค่ารวม 15,652 ล้านบาท และเตรียมชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนด ในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มูลค่า 2,276 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย
การระดมเงินทุนในการเสนอขายหุ้นกู้ทุกครั้งได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตแก่บริษัทฯ ด้วยการดำเนินงานภายใต้จุดยืน URBAN LIVING SOLUTIONS เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งช่วยในการแก้ปัญหาของชีวิตคนเมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดีขึ้น โดยสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนงานที่วางไว้ ส่งผลให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมากลับมามีกำไรในรอบ 5 ปี และอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ หลังจากนี้ ยังเป็นปีแห่งการประคับประคองธุรกิจ แม้จะมีปัจจัยหนุนจากแรงกระตุ้นของมาตรการภาครัฐที่ผลักดันการปลดล็อคมาตรการ LTV ให้ชั่วคราว รวมถึงมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง 0.01%
ถือว่าเป็นมาตรการที่ออกมาในจังหวะที่ดีหลังตลาดอสังหาฯ เจอวิกฤตจากแผ่นดินไหวและการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ทั้งยอดขายและยอดโอน โดยภาพรวมมองว่าตลาดอสังหาฯ ยังมีปัจจัยบวกที่มาช่วยสนับสนุนทำให้ตลาดกลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ชะลอตัวจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
จากมาตรการดังกล่าว อนันดาฯ จะได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ในด้านการโอนโครงการต่างๆ ด้วยจุดแข็งในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ติดรถไฟฟ้าที่มีสินค้าที่ดีและมีคุณภาพพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท สูงกว่า 40% ของ Backlog ที่โอนภายในปีนี้
ซึ่งเข้าเกณฑ์ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ โดยในปี 2568 นี้อนันดาฯ มียอด Strong Backlog แล้วกว่า 11,371 ล้านบาท หรือคิดเป็น 79% จากเป้าหมายยอดโอน 14,500 ล้านบาท อนันดาฯ มีแผนที่จะโอนโครงการใหม่ คือ โครงการพร้อมเข้าอยู่ใหม่ 3 โครงการ
ได้แก่ โครงการไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี สเตชั่น พร้อมโอนในไตรมาส 2 ส่วนโครงการคัลเจอร์ ทองหล่อ และโครงการคัลเจอร์ จุฬา พร้อมโอนในไตรมาส 3 มูลค่ารวมทั้ง 3 โครงการกว่า 12,078 ล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่ายอดโอนปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน และคาดว่าจะช่วยหนุนยอดโอนและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯปีนี้
โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ สามารถสร้างยอดขายกว่า 3,677 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือคิดเป็น Achieved 114 % และมีสัดส่วนยอดขายลูกค้าต่างประเทศกว่า 53% ของยอดขายรวมในไตรมาส 1 ปี 2568 เป็นการส่งสัญญาณดีขึ้น จึงให้ความเชื่อมั่นว่าการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ได้นำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจตามวัตถุประสงค์ รองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศตามแผนงานที่วางไว้
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมและอาคารสูงที่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบ แต่อาคารสูงในประเทศไทยสามารถรับมือกับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงหรือการพังถล่มของโครงสร้างหลักเลยแม้แต่กรณีเดียว
มาตรฐานการก่อสร้างอาคารของไทยยังคงจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก และได้รับการออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวอย่างรัดกุมด้วยมาตรฐานการก่อสร้างต้านทานแผ่นดินไหว ปี 2550 ถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมยังมีระบบประกันภัยรองรับ 5,994 โครงการวงเงินคุ้มครอง 3.8 ล้านล้านบาท
จากการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยกว่าปีละ 2,200 ล้านบาทซึ่งไม่ต้องพึ่งพิงจากภาครัฐ มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น เพราะเมื่อความตื่นตระหนกและความกังวลคลี่คลายลงผู้บริโภคจะตระหนักและให้ความสำคัญกับการเลือกคอนโดมิเนียมที่มีมาตรฐานความปลอดภัย มั่นใจว่าดีมานด์จะกลับมาสู่ภาวะปกติ