บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ประกาศความสำเร็จในการปิดการขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 ครบเต็มจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.50% และอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ซึ่งเสนอขายระหว่างวันที่ 7-9 มกราคมที่ผ่านมา
หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB” และมีอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ “BBB+” สะท้อนถึงการตอบรับที่ดีของผู้ลงทุนต่อหุ้นกู้ สิงห์ เอสเตท ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถสะท้อนความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในปัจจุบันโดยแม้ตลาดตราสารหนี้ไทยเผชิญความผันผวน
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 จำนวน 2 ชุดได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยมียอดจองซื้อหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดเต็มตามเป้าการเสนอขายของบริษัทฯ
โดยสถาบันการเงิน 4 แห่งร่วมเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย
ความสำเร็จครั้งนี้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนจากนักลงทุนที่เชื่อมั่นในผลการดำเนินงานและแผนการเติบโตที่ชัดเจนในอนาคต บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาโครงการในกลุ่ม Luxury อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า รวมถึงธุรกิจโรงแรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์การขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม โดยมรธุรกิจในเครือที่หลากหลาย เช่นธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ "เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท" (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ สิงห์ เอสเตท โดยปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 36 แห่ง ห้องพัก 4,290 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศทั่วโลก
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย ซึ่งครอบคลุมการพัฒนารูปแบบโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในระดับ luxury segment ที่มีความอ่อนไหวจากสถานการณ์ตลาดต่ำ
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน