KEY
POINTS
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ในคดีที่ นายคงเดชา ชัยรัตน์ เป็นผู้ร้อง กล่าวหา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ถูกร้องที่ 2) รวมถึง สมาชิกพรรคประชาชน 143 คน (ผู้ถูกร้องที่ 3) และ พรรคประชาชน (ผู้ถูกร้องที่ 1)
โดยผู้ร้องอ้างว่า ทั้งสามฝ่ายได้กระทำการ ตกลงแบ่งปันอำนาจอธิปไตย ผ่านการลงนาม บันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่าง นายณัฐพงษ์ กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อกำหนดแนวทางจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตามคำร้องระบุว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย “บิดเบือนอำนาจบริหารของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี” ทำให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลของระบอบประชาธิปไตยเสียสมดุล และเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายค้านโดยไม่ชอบ
ในบันทึกข้อตกลง (MOA) ระบุแนวทางร่วมกันว่า พรรคประชาชนจะ ยกคะแนนเสียงของ สส. ให้พรรคใดก็ตามที่ยอมดำเนินนโยบายของพรรคประชาชน เมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ
1.การยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และ
2.การจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง
ภายหลัง นายณัฐพงษ์ และ นายอนุทิน ได้ร่วมลงนามใน MOA ฉบับดังกล่าว และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการลงมติเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคประชาชนยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านตามเดิม
ศาลรัฐธรรมนูญพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงและเอกสารประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดชัดเจน ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้กระทำการเข้าข่าย “ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง
โดยศาลเห็นว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOA) ดังกล่าว เป็นเพียงการเจรจา และประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ระหว่างสองพรรคการเมือง เพื่อแสดงแนวนโยบายทางการเมืองเท่านั้น
จึงไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อระบอบการปกครอง หรือเป็นการใช้อำนาจนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ก่อนหน้านี้ นายคงเดชา ได้ยื่นคำร้องต่อ อัยการสูงสุด เพื่อให้พิจารณาดำเนินการส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสาม “ยังไม่เข้าข่าย” การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับดำเนินการ ส่งเรื่องต่อศาล ทำให้ นายคงเดชาต้องยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญในภายหลัง
ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องของนายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล หนึ่งในแกนนำกลุ่ม “สว.สำรอง” ที่ยื่นเรื่องในประเด็นเดียวกัน โดยเห็นว่า เป็นข้อเท็จจริงและประเด็นทางกฎหมายเดียวกับกรณีของ นายคงเดชา