KEY
POINTS
ในที่สุดวาระการเมืองไทยที่หลายฝ่ายจับตา “การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางจัดทำฉบับใหม่” ได้เดินหน้าตามแผน หลังการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ลงมติ “คว่ำร่างเพื่อไทย” แต่ “ผ่านฉลุย” สองร่างหลักจาก พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน พร้อมตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญ 43 คน เพื่อพิจารณารวมร่าง ก่อนเข้าสู่การลงมติวาระ 2 และ 3 ในช่วงต้นปี 2569
ไฮไลต์สำคัญของการเมืองไทย คือ การชี้แจงของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ซึ่งเปิดเผย “ไทม์ไลน์ยุบสภา-เลือกตั้ง-ทำประชามติ” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลประกาศกรอบเวลาการเมืองชัดเจนถึง “เดือน-วัน-ปี” ที่จะเกิดการยุบสภา และ เลือกตั้งใหม่ ในปี 2569
เลือกตั้ง-ประชามติ 29 มี.ค. 69
นายบวรศักดิ์ ระบุว่า ตามขั้นตอน เมื่อรัฐสภาผ่านร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3 แล้ว ประธานรัฐสภาจะต้องแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีหารือกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันจัดทำประชามติ และคำถาม ที่จะใช้ในประชามติ ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้กรอบเวลาตามกฎหมายและข้อตกลงร่วม (MOA) ระหว่างรัฐบาล–รัฐสภา–กกต.
นายบวรศักดิ์ ระบุว่า ขณะนี้ได้จัดทำ “ไทม์ไลน์” ไว้ 2 กรณีหลัก ดังนี้
กรณีที่ 1 : ใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 (ฉบับปัจจุบัน)
หากเริ่มนับระยะเวลา 4 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 จะครบกำหนด “ยุบสภา” ในวันที่ 31 มกราคม 2569 จากนั้นต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45–60 วัน ซึ่งวันที่เหมาะสมที่สุดคือ วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569
ส่วนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ต้องเสร็จสิ้นภายในช่วงวันที่ 15-20 ธันวาคม 2568 และรัฐบาลจะต้องออกประกาศจัดทำประชามติภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568
กรณีที่ 2 : หากมีการประกาศใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2)
กรณีนี้จะทำให้รัฐสภามีเวลาเพิ่มขึ้น เพราะกำหนดระยะเวลาทำประชามติภายใน 60 วัน จากเดิม 90 วัน หากยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ก็สามารถจัดเลือกตั้งและทำประชามติพร้อมกัน ในวันที่ 29 มีนาคม 2569 เช่นกัน โดยรัฐสภาจะต้องลงมติในวาระ 3 ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม 2569 และรัฐบาลประกาศทำประชามติภายใน 29 มกราคม 2569
“ทั้งหมดอยู่ในกรอบที่สอดคล้องกับข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาล-รัฐสภา-กกต. และเป็นทางออกที่ยุติธรรมที่สุดต่อทุกฝ่าย” นายบวรศักดิ์ ย้ำ
“เพื่อไทย”เสนอปิดดีลเร็วกว่า 7 วัน
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวเห็นด้วยกับกรอบเวลาที่รัฐบาลวางไว้ แต่เชื่อว่ากระบวนการสามารถ “เร่งได้เร็วกว่านี้” ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำประชามติภายใน 90 วันตามกฎหมาย
“เราสามารถลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามได้ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 แล้วส่งถึงนายกฯ ภายใน 3 วัน ก็ยังคงจัดเลือกตั้งได้ตามโรดแมปเดิม” นพ.ชลน่าน กล่าว พร้อมระบุว่า วันที่ 22 หรือ 29 มีนาคม 2569 ต่างเป็นวันอาทิตย์ที่เหมาะสมทั้งคู่ (เลือกตั้ง+ทำประชามติ)
คว่ำร่างแก้รธน.เพื่อไทย
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 258 ที่ประชุมรัฐสภาลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ผลปรากฏว่า
พรรคประชาชน รับหลักการ 568 เสียง ส.ส. 460 ส.ว. 108 คน
พรรคภูมิใจไทย รับหลักการ 629 เสียง ส.ส. 462 ส.ว. 167 คน
พรรคเพื่อไทย รับหลักการ 521 เสียง ส.ส. 461 ส.ว. 60 คน - ไม่ผ่าน เพราะ ส.ว. เห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 คือ 67 คน
การคว่ำร่างของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็น “สัญญาณทางการเมือง” ว่า พรรคเพื่อไทย ไม่สามารถดึงเสียง ส.ว. มาร่วมได้เพียงพอ ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน กลับสร้างแนวร่วมข้ามฝั่งได้สำเร็จ
กมธ. 43 คน สมรภูมิใหม่
หลังมติผ่านร่างของสองพรรคหลัก ที่ประชุมรัฐสภาตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 43 คน แบ่งเป็น ส.ส. 31 คน และ ส.ว. 12 คน
ในกลุ่ม ส.ส. พบว่า พรรคประชาชน และ เพื่อไทย ครองรวมกัน 18 เสียง จากทั้งหมด 31 เสียง ถือเป็น “เสียงข้างมาก” ที่จะมีอิทธิพลต่อทิศทางร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรง
ตัวแทนสำคัญ ได้แก่
พริษฐ์ วัชรสินธุ และ ณัฐวุฒิ บัวประทุม จากพรรคประชาชน
ชูศักดิ์ ศิรินิล - จาตุรนต์ ฉายแสง - นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทย
ฝั่งภูมิใจไทย นำโดย ภราดร ปริศนานันทกุล
ส่วน ส.ว. ทั้ง 12 คน มาจาก “กลุ่มสายสีน้ำเงิน” ที่มีแนวทางอนุรักษนิยมชัดเจน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การจัดองค์ประกอบเช่นนี้จะทำให้ “คณะ กมธ.” กลายเป็นสนามต่อสู้สำคัญระหว่าง “ฝ่ายโละรัฐธรรมนูญเก่า” กับ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม”
เพราะเมื่อสแกนตัวเลขของ กมธ.ทั้ง 43 คน แบ่งได้เป็น ส.ส. 31 คน เป็น ส.ส.ฝั่งรัฐบาล 9 คน ขณะที่ ฝั่งฝ่ายค้าน 22 คน แบ่งเป็น พรรคประชาชน 9 คน พรรคเพื่อไทย 9 คน พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน พรรคประชาชาติ 1 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน ขณะที่ ส.ว. จำนวน 12 คน เป็น “สายสีน้ำเงิน” ทั้งหมด
และเมื่อพิจารณาตัวเลข พบเป็นฝ่ายที่ต้องการ “โละรัฐธรรมนูญเก่า” ที่เป็นมรดกจากการรัฐประหาร มี 19 คน (เพื่อไทย-พรรคประชาชน-ประชาชาติ) กับ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ที่ยึดรัฐธรรมนูญ 2560 (ส.ส.รัฐบาล-ประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา-ส.ว.) มี 24 คน
ดังนั้น หากมีประเด็นที่เห็นต่าง ต้องชี้ขาด “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” อาจจะชนะแบบเฉียดฉิว
“แดงผนึกส้ม”ยึดร่างหลัก ปชน.
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในการโหวตเลือกร่างหลักของ กมธ. เมื่อ ร่างของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ จากพรรคประชาชน (ปชน.) ชนะร่างของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย แบบเฉียดฉิว 300 ต่อ 287 เสียง (ห่างกัน 13 เสียง)
ผลโหวตนี้พลิกจากรอบแรกที่ร่างภูมิใจไทย ชนะ 297 ต่อ 292 เสียง (ห่างกัน 5 เสียง) ก่อนที่ พรรคเพื่อไทย จะเทคะแนนให้ พรรคประชาชน ในการนับรอบใหม่แบบขานชื่อ ส่งผลให้เกิด “ขั้วการเมืองใหม่” ระหว่าง แดง-ส้ม กลางสภา
“ณัฐพงษ์”ขอบคุณเพื่อไทย
หนึ่งในแกนนำพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าโพสต์ขอบคุณพรรคเพื่อไทยภายหลังผลโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า “เสียดายที่ร่างเพื่อไทยไม่ผ่าน แต่ก็รักษาสัจจะ ขอบคุณเพื่อไทยสำหรับร่างหลัก”
พร้อมระบุว่า ยังมีอีกหลายด่านในชั้น กมธ. วาระ 2 และกลับมาพิจารณาในสภาใหญ่ วาระ 2-3 การผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกพรรค (รวมถึง ส.ว.) ช่วยกันทำให้ “ร่างรวม” ของ กมธ. ออกมาดีที่สุด ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เท่าที่ ทำได้ และ เป็นไปได้
เหตุผลการเมืองตีตกร่าง พท.
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า “เป็นที่น่าเสียใจว่า ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นอันต้องจบไป ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการปรึกษากันแล้ว และมองว่าไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากเหตุผลทางการเมืองเท่านั้น ที่ทำให้ร่างของพรรคเพื่อไทยตกไป”
พร้อมชี้แจงว่า “เมื่อร่างของพรรคเพื่อไทยตกไป จึงจำเป็นที่จะต้องโหวตสนับสนุนร่างของพรรคประชาชน เพราะเป็นร่างที่มีความใกล้เคียงกับของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)
เกมยาวสู่ปีเลือกตั้ง 2569
การโหวตร่างหลักครั้งนี้สะท้อน “สมการอำนาจใหม่” ภายในรัฐสภาอย่างชัดเจน เมื่อ พรรคเพื่อไทย จับมือกับ พรรคประชาชน ส่งผลให้ ภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล เสียจังหวะในเกมสำคัญที่สุดของปี
ขณะเดียวกัน การเดินหน้าโรดแมป “ยุบสภา-เลือกตั้ง-ประชามติ” ภายใน 31 มกราคม - 29 มีนาคม 2569 ทำให้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “ฤดูการเมืองใหม่” ที่ทั้งฝ่ายการเมือง และ ประชาชน ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ปี 2569 จึงอาจกลายเป็นปีที่ “รัฐธรรมนูญใหม่” และ “รัฐบาลใหม่” เดินเคียงกัน เปิดฉากการ “รีเซ็ต” ทางการเมืองไทยครั้งใหญ่อีกครั้ง...
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4141