KEY
POINTS
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคาดหวังต่อ รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจว่า
จากสถานการณ์โลกเดือด มรสุมจากภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีทรัมป์ที่ส่งผลกระทบตรงๆกับเศรษฐกิจไทย ขณะที่การเมืองวุ่น 2 ปีกว่าของสภาฯชุดนี้ เปลี่ยนนายกฯ ไปแล้ว 3 คน ล่าสุดมีการพลิกขั้ว ได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกาศชัดไทม์ไลน์ สู่การยุบสภา 4 เดือน เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง พร้อมทำประชามติแก้ไขรัฐธธรรมนูญ
การแก้ไขเศรษฐกิจ ถ้าจะทำให้เป็นผลงานอย่างชัดเจน ได้แสดงออกถึงวิสัยทัศน์ความเข้าใจจริงๆ มันต้องมีเวลามากกว่านี้ ฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็คงมีเวลาในการดูแลเศรษฐกิจในระยะสั้นๆเท่านั้น
นายสุวัจน์ เห็นว่า เศรษฐกิจกับการเมือง เป็นขอคู่กัน การเมืองต้องเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เราจำเป็นต้องมอง 2 เรื่องนี้ควบคู่กันไปเสมอ
ถามว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโลก ก็ต้องยอมรับอีกว่า เป็นยุคที่มีความผันผวนที่สุด นับตั้งแต่โควิด สืบเนื่องมาเจอปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาสงครามการค้า ปัญหาสงครามจริงๆ และล่าสุดก็ภาษีทรัมป์ ที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบ ซึ่งในยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่นก็หนักแล้ว แต่วันนี้เป็นเรื่องเอไอ มันยิ่งกว่ามากนะ
ฉะนั้น การเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจที่มาจากความเจริญเติบโตทางด้านเทคโนโลยีจากเอไอสูงมาก จึงมีผลกระทบในทุกมิติเลย ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางไปสู่กรีนอีโคโนมีอีก หมายความว่า ทุกอย่างเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ต้องมีมาตราฐานเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน สนใจสิทธิมนุษยชน เรื่องสตรี ความหลากหลายทางเพศ มีเรื่องความยั่งยืนต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
สิ่งเหล่านี้ เป็นภาพที่ส่วนตัวคิดว่า มีผลกระทบโดยตรงกับเศรษฐกิจไทย จีดีพีเราไม่โตเลย ไตรมาสแรก 3 % ไตรมาสที่สองก็ 3 % พอไตรมาสที่สาม 1 % กว่า ไตรมาสสุดท้ายอาจจะ 1 % กว่าเช่นกัน เฉลี่ยปีนี้เราอาจไม่ถึง 2 % ซึ่งเราไม่ถึง 2 % มาเกือบ 20 ปีแล้วนะ เป็นสิ่งที่น่ากังวล
ขณะที่ยังมีเรื่องสะสมมาตั้งแต่โควิด นั่นคือ เอสเอ็มอี ของเราอ่อนแรงมาก พอมาเจอวิกฤษเศรษฐกิจจากความผันผวนของโลกอีกก็แทบอยู่ไม่ได้ แล้วยังต้องเจอปัญหาจากการแข่งขันเรื่องคุณภาพสินค้า อันเนื่องมาจากกรีนอิโคโนมี เจอเอไอ ซึ่งเรายังเสียเปรียบมากในเรื่องการแข่งขัน แล้วเรื่องเอไอมันชัดเจนว่า มันยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากขึ้น เพราะเป็นเทคโนโลยีสนับสนุนธุรกิจใหญ่ๆ โดยเฉพาะ Global Company ให้ใหญ่ขึ้น แต่ขณะที่เอสเอ็มอีก็ยิ่งตายลงๆ ดิจิทัลดีไวซ์ หรือแก๊ประหว่างความไม่เสมอภาคจะสูงขึ้น
ไหนเรายังต้องเผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก วันนี้ผู้สูงอายุเรา 20 % กว่า หรือ 15 ล้านคนจากประชากร 60 กว่าล้านคนแล้ว ฉะนั้นเรามีภาระด้านสวัสดิการการดูแลผู้สูงอายุ แต่กำลังการผลิต กำลังคนทำงานของคนในชาติน้อยลงไป
สุดท้ายที่คิดว่า เป็นความท้าทายเศรษฐกิจไทยมากๆ นั่นคือ Fiscal Spaces หรือ “พื้นที่ทางการคลัง” ที่เราเหลือน้อยลงไปทุกวันๆ เรากำลังเดินไปสู่ “หน้าผาทางการคลัง” แล้ว
เงินเราน้อยลงไปหนี้สินมากขึ้น หนี้ 65% ของจีดีพี มันชนเพดานแล้วนะ หรือการขาดดุลงบประมาณ 4.5 % อย่างนี้มันมากกว่า 3 % แล้ว มันนำไปสู่การจัดเครดิตเรตติ้งต่างๆ ต่อไปเรากู้เงินยากขึ้น ดอกเบี้ยสูงขึ้น หรือเงินที่ใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศน้อยลง
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหารุมเร้าจริงๆ เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไขในระยะยาว ถึงบอกว่า เราจำเป็นต้องแบ่งงานกันทำ รัฐบาลชุดนี้ก็จะต้องเรื่องระยะสั้นๆ แก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าไป ส่วนเรื่องระยะยาวก็คงเป็นเรื่องของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
ถามว่า เรื่องเศรษฐกิจเฉพาะหน้ามีอะไรบ้าง นายสุวัจน์ ตอบว่า เรื่องแรกเร่งด่วนที่รัฐบาลนี้ ควรจะต้องดำเนินการต่อทันทีคือ เรื่องภาษีทรัมป์เพราะเรื่องนี้ส่งผลรุนแรงต่อการส่งออก มูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปต้องบวก 19% ของแพงขึ้น
ขณะเดียวกันก็กระทบการลงทุน เพราะเรื่องนี้ทำให้ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน มีการโยกย้ายฐานการลุงทุน ถ้าที่ไหนภาษีถูกก็มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ฉะนั้นเรื่องนี้รัฐบาลตั้งรองนายกฯ ฟอร์มทีมเจรจาแล้ว เพื่อลดผลประทบให้น้อยที่สุด
เรื่องที่สอง การส่งออก วันนี้ตัวเลขมันลดลงไปมาก แล้วมันมีผลกระทบต่อจีดีพีประเทศ ผมคิดว่า นอกจากตลาดเก่า อย่าง จีน ยุโรป อาเซียน ที่เราต้องเจาะทาร์เก็ตสินค้า เพื่อรักษาฐานคู่ค้าเก่าๆ แล้ว เราต้องหาตลาดใหม่ๆด้วย อย่างตลาด Global South หรือ แถบประเทศละตินอเมริกา แอฟริกา เอเชียกลางตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อเยอะ และเรายังส่งออกไปน้อย ทำควบคู่ทั้งตลาดเก่ากับตลาดใหม่ การส่งออกน่าจะกระเตื้องขึ้น
เรื่องที่สาม การท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นพระเอกเลย แต่วันนี้พระเอกบทบาทน้อยลงไป แต่ยังไงๆเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องหลักต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เดิมก่อนโควิดเรามีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ปีที่แล้วมีตัวเลข 35-36 ล้านคน แต่ปีนี้อาจจะน้อยลงไป ซึ่งผลกระทบหลักๆมาจากคู่แข่ง คนญี่ปุ่นไปเวียดนามมากขึ้น ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจีนก็หายไป จากที่เคยมา 12 ล้าน ตอนนี้ไม่ถึงครึ่ง ราวๆ 5-6 ล้านเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีนัยยะสำคัญด้วย
ฉะนั้น รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข ต้องฟื้นฟูภาพลักษณ์ ความไม่เข้าใจอะไรต่างๆของตลาดจีนที่มีต่อไทยอย่างจริงจัง ถ้าเราได้ตัวเลขจากคนจีนคืน การท่องเที่ยวไทยก็เกินกว่ายอดที่เคยได้ก่อนโควิดแล้ว
นายสุวัจน์ ย้ำว่า เรื่องท่องเที่ยวมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ ต่อเศรษฐกิจรากหญ้า ต่อคนในชนบท เพราะการท่องเที่ยวทำให้เงินกระจายลงไปถึงคนในชนบท แต่พอไม่ตรงเป้า จึงกระทบต่อเศรษฐกิจข้างล่างอย่างรุนแรง
ดังนั้น เฉพาะหน้าต้องนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศให้เยอะขึ้น เที่ยวเมืองนอกกันน้อยๆหน่อย
“อย่างโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งที่เคยทำ ไปเที่ยวเท่าไหร่รัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่ง ต้องหยิบมาทำต่อ เพื่อให้ท่องเที่ยวเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะช่วยเศรษฐกิจรากหญ้าฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ”
แล้วก็ควรสร้างอินเซนทีฟในคนไปเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น เพราะเมืองหลัก อย่าง พัทยา หัวกิน ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย นักท่องเที่ยวรู้จัก มีผลกระทบบ้าง แต่ยังเข้มแข็งอยู่ ที่สำคัญควรให้ความสำคัญกับบิ๊กอีเวนต์ที่เรากำลังจะเป็นเจ้าภาพ
อย่างการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์ ประกวดมิสยูนิเวิร์ส อย่างนี้ถือเป็นบิ๊กอีเวนต์ หรือใช้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์เพื่อกระตุ้นให้คนเข้ามาท่องเที่ยว หรือให้สมาคมกีฬาที่มีอยู่ทำโครงการ จัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกในช่วงสั้นๆ ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมไปถึงให้ส่วนราชการไปประชุมสัมมนาตามเมืองรองต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีรายได้
สิ่งเหล่านี้ถือว่า รัฐบาลชุดนี้ต้องทำได้ เพราะการท่องเที่ยวไม่เหมือนการลงทุนนะ รัฐบาลอยู่ 4 เดือนไปชวนใครเขาก็อาจมีขีดจำกัดในการสร้างความเชื่อมั่น แต่การท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการเรื่องความเชื่อมั่นอะไรมากมาย เอาระยะสั้นๆ มากินมาเที่ยวมาใช้ แล้วก็กลับ
เรื่องที่สี่ รัฐบาลควรเร่งรัดในการใช้จ่ายจากงบประมาณปี 2569 ใช้จ่ายกันแต่เนินๆ จากที่บางปีจะไปใช้จ่ายกันในช่วงปลายปีงบประมาณ เพราะการเร่งรัดจัดซื้อจัดจ้าง เร่งรัดการก่อสร้าง จากงบประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท มันจะช่วยดึงจีดีพีได้อย่างมหาศาล หรืออย่างรัฐบาลจะทำโครงการคนละครึ่งพลัส ก็เป็นโครงการเก่า แต่เอามาทำต่อด้วยเงิน 40,000 กว่าล้านบาท ก็ถือว่ามีผล ตัวอย่างอย่างนี้ถือเป็นเรื่องดี
สุดท้าย เรื่องที่ห้า ผมว่า รัฐบาลนี้ควรดำเนินการช่วยสนับสนุน เอสเอ็มอี ที่บอกซ้ำมากๆ จากปัญหาที่ผมได้พูดไป ทำให้โซ่ข้อกลางของระบบอุตสาหกรรมของธุรกิจไปได้ เพราะถ้าไม่มีเอสเอ็มอีธุรกิจใหญ่ๆก็ไม่เกิดขึ้น แล้วเอสเอ็มอีถือเป็นรากฐานของจีดีพี ฉะนั้นวันนี้รากฐานของเราอ่อนแอ ต้องเข้าไปสนับสนุนเขาอย่างจริงจัง
“5 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาล 4 เดือน สามารถทำได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว ผมคิดว่า คงต้องยกให้เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ ที่จะเข้ามาวางกรอบอย่างที่ได้พูดไป”
นายสุวัจน์ กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่า การเลือกตั้งจะนำไปสู่รัฐบาลหน้าตาแบบไหน แต่ส่วนตัวมองว่า ระหว่างนี้พรรคการเมืองก็จะมีเวลานานขึ้น จากเดิมยุบสภาก็มีเวลา 45 วันก็เลือกตั้งแล้ว แต่นี่ต้องบวกไปอีก 4 เดือน ฉะนั้นระยะเวลาที่นานขึ้น ทำให้นักเลือกตั้งต้องหาเสียงนานหน่อย
สำหรับพรรคการเมือง ก็อย่าให้เสียเปล่า ควรใช้เวลาที่นานขึ้นนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้ง เพราะศึกข้างหน้าใหญ่หลวงนัก การเมืองต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา และสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้กับประเทศจริงๆ ด้วยนโยบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ และของโลก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องตระหนัก และยอมรับความจริงกันได้แล้ว ถึงการใช้นโยบายประชานิยมมาเป็นจุดขายเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง
นายสุวัจน์ เห็นว่า ภารกิจใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังเลือกตั้งที่จะเข้ามาต้องทำกันอย่างจริงจัง มีอยู่ 6 เรื่อง
เรื่องแรก เราจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยเฉพาะโครงสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
ต่อไปเราจะผลิตสินค้าอย่างเดิมไม่ได้แล้ว การผลิตรุ่นใหม่จะต้องเป็นการผลิตที่มีมาตราฐานขึ้น ไม่ปล่อยซีโอทู สนใจเรื่องโลกร้อน ต้องผลิตโดยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายที่ 2050 จะต้องเน็ตซีโร่ ฉะนั้นการผลิตจากนี้ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน คำนึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ความหลากหลายทางเพศ
หรือแม้การที่ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลง แล้วในที่สุดจำเป็นต้องเข้าร่วมเอฟทีเอ เกิดกลุ่มการค้าต่างๆเพื่อกำหนดมาตราฐานสินค้า ซึ่งเราก็ต้องผลิตให้ได้ มิเช่นนั้นเราก็จะไม่มีสินค้าไปขาย การส่งออกจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ฉะนั้นสำหรับรัฐบาลหน้า ต้องมีมิติเรื่องต่างประเทศมากเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะเราจำเป็นต้องไปอยู่ในกลุ่มการค้าต่างๆ เพื่อไม่ให้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ การเข้าร่วมเอฟทีเอค้าด้วยกันเอง จะปลอดภัยขึ้น ไม่มีภาษีมาเป็นอุปสรรค
เรื่องที่สอง ต้องยกระดับเอสเอ็มอี ต้องทำให้ขึ้นมาเผชิญหน้ากับการท้าทายของความผันผวนของโลกให้ได้
เรื่องที่สาม รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุอย่างจริงจัง ต้องยกให้เป็นวาระแห่งชาติสำคัญเลย จะเกษียณอายุกันยังไง ขยายเป็น 65 ดีมั๊ย หรือจะดูแลสวัสดิการกันยังไง หรือการจะอัพสกิลให้ผู้สูงแบบไหน เพื่อยังให้เป็นกำลังการผลิตของประเทศ
เรื่องที่สี่ เรื่องคุณภาพการศึกษา วันนี้คนเข้าสู่ระบบมหาวิทยาลัยน้อยลงไปทุกปี แล้วการวัดผลในเรื่องคุณภาพการศึกษาของเยาวชนของเรา ก็อยู่รองบ๊วยเลย อย่างในเรื่อง STEM หรือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เอนจีเนียริ่ง คณิตศาสตร์ ในกลุ่มประเทศ OECD วัดออกมาใน 70 ประเทศ เราอยู่อันดับ 69 เลยนะ
แสดงว่าเด็กเราความรู้ความสามรถเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเราต่ำมาก ซึ่งเป็นความรู้ความสามารถพื้นฐานในการต่อสู้กับเศรษฐกิจโลก เป็นพื้นฐานในการสร้างคนของระบบเศรษฐกิจ ฉะนั้นมันถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปมาตราฐานการศึกษา และดึงเด็กให้เข้าสู่ระบบ
สรุปเลยคือเด็กไทยต้องเก่ากว่าเดิม ยิ่งในวันที่สังคมผู้สูงวัยด้วย ถ้าเราไม่เพิ่มประชากร เด็กไทยในอนาคตจะต้องมารับผิดชอบผู้สูงอายุมากกว่าเดิม
เรื่องที่ห้า การท่องเที่ยว ต้องเป็นแกนหลักให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ต้องสร้างเมืองไทยให้เป็นฮับของโลก เมดิคัลฮับ เวลเนส ฮับ นอแมดฮับ เราต้องคิดกันว่า อะไรคือ Man-made destination หรือคาแร็กเตอร์เฉพาะตัว ที่จะดึงคนเข้ามารุมที่ประเทศเรา หรือพวกเวิลด์อีเวนต์ อย่าง เอฟวัน ให้เป็นทัวร์นาเมนต์ประจำที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีโปร์ไฟล์การท่องเที่ยวระดับโลก
แล้วเราจำเป็นที่จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เรามีแต่พัฒนาเส้นทางเพื่อคมนาคม เพื่อการขนส่ง แต่วันนี้เราต้องพูดแล้วว่า เราจะ