31 ม.ค. 69 ยุบสภา 29 มี.ค. เลือกตั้งใหม่ เดิมพันอนาคตการเมืองไทย

01 ต.ค. 2568 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 02:41 น.

31 ม.ค. 69 ยุบสภา 29 มี.ค.เลือกตั้งใหม่ เดิมพันอนาคตการเมืองไทย : รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,136

KEY

POINTS

  • นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ในวันที่ 31 มกราคม 2569 และคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ในวันที่ 29 มีนาคม 2569
  • การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการชี้ชะตาอนาคตทางการเมือง โดยพรรคการเมืองหลักต่างตั้งเป้าจำนวน สส. เพื่อชิงความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาล
  • ประชาชนจะต้องลงคะแนนโดยใช้บัตรทั้งหมด 4 ใบ ในวันเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้ง สส. และการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ และเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา

การเมืองไทยเดินเข้าสู่โหมด นับถอยหลัง 120 วัน หลัง นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศชัดเจนต่อที่ประชุมรัฐสภาเมื่อ 29 กันยายน 2568 ว่า “ขออนุญาตนับ 1 ตุลาคมเป็นวันแรก นับไปสี่เดือน คือ 31 มกราคม ยุบสภาแน่นอน" 

คำยืนยันดังกล่าวไม่เพียงเป็นไปตาม บันทึกความเข้าใจ (MOA) ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล แต่ยังสะท้อนความตั้งใจของ “รัฐบาลเฉพาะกาล” ที่จะไม่อยู่ยืดเยื้อเกินกรอบเวลา 4 เดือน โดยภารกิจหลักคือ การดูแลความสงบเรียบร้อยทางการเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจเร่งด่วน และปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่

จากยุบสภาถึงตั้งรัฐบาลใหม่

หากยึดตามกรอบกฎหมายและบทเรียนจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา สามารถ “ฉายภาพใหญ่” ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ดังนี้

• 31 มกราคม 2569 : ยุบสภา

พระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับใช้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นนับถอยหลังการเลือกตั้งทั่วไป

• 29 มีนาคม 2569 : วันเลือกตั้งทั่วไป (ช้าสุดตามกรอบ 60 วัน)

รัฐธรรมนูญกำหนดว่าต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังยุบสภา หมายความว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เกินวันที่ 29 มีนาคม 2569

•29 พฤษภาคม 2569 : กกต.รับรองผลการเลือกตั้ง

ภายใน 60 วันหลังวันเลือกตั้ง กกต.ต้องประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ หากไม่ติดปัญหาการร้องเรียนจำนวนมาก กรอบเวลานี้จะจบภายในปลายเดือนพฤษภาคม

• มิถุนายน 2569 : เปิดประชุมสภาฯ เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

ตำแหน่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดสมดุลอำนาจและดีลการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะ “ประธานสภาฯ” จะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานสำคัญในกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี

• มิถุนายน 2569 : เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

หากขั้นตอนเป็นไปตามปกติ สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายในกลางปี 2569 โดยผู้ได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร จะได้ขึ้นแท่นบริหารประเทศ

• กรกฎาคม 2569 : ครม.ชุดใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดิน

หลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะตรงกับช่วงกลางปีพอดี

                           31 ม.ค. 69 ยุบสภา 29 มี.ค. เลือกตั้งใหม่ เดิมพันอนาคตการเมืองไทย

เลือกตั้งใหม่เดิมพันใหญ่ 

การเลือกตั้ง 2569 ถูกจับตามากกว่าทุกครั้ง เพราะเป็น “ศึกชี้ชะตา” ที่มาพร้อมหลายปัจจัย 

พรรคประชาชน : การเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า คะแนนนิยมจากคนรุ่นใหม่และเมืองใหญ่ ยังจะเหนียวแน่นอยู่กับพรรคต่อไปหรือไม่?  

เลือกตั้งปี 2569 พรรคประชาชน ตั้งเป้ากวาด สส. 200 ที่นั่ง

ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกลขณะนั้น ได้สส.รวม 151 ที่นั่ง ได้คะแนนนิยมทั้งประเทศ 14,438,851 คะแนน

พรรคเพื่อไทย : ที่แม้ครองฐานเสียงส่วนใหญ่ในลำดับสอง ในการเลือกตั้งปี 2566 แต่ครั้งนี้เผชิญแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะประเด็น “นิติสงคราม” และแรงเสียดทานจากพันธมิตรเดิม การเลือกตั้งในปี 2569 นี้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่า เก้าอี้สส.ที่เคยได้ จะได้เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง

เลือกตั้งปี 2569 พรรคเพื่อไทย ตั้งเป้ากวาด สส. 150 ที่นั่ง

ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทย ได้ สส.รวม  141 ที่นั่ง แยกเป็น สส.เขต 112 ที่นั่ง สส.บัญชีรายชื่อ 29 ที่นั่ง คะแนนรวมทั่วประเทศ ได้ 10,962,522 คะแนน

พรรคภูมิใจไทย : ฐานที่มั่นของนายกฯ อนุทิน แม้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์ว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” ได้จริงหรือไม่

เลือกตั้งปี 2569 พรรคภูมิใจไทย ตั้งเป้ากวาด สส. 120 ที่นั่ง

ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทย ได้ สส.รวม 71 ที่นั่ง แยกเป็น สส.เขต 68 ที่นั่ง ได้ สส.บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง ได้คะแนนรวมทั่วประเทศ  1,138,202 คะแนน

พรรคประชาธิปัตย์ : พรรคเก่าแก่ เจอมรสุม สส.และสมาชิกพรรคไหลออก ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และทีมกรรมการบริหารพรรคเป็นใครบ้าง หลังจาก เฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค

ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ สส.รวม 25 ที่นั่ง แบ่งเป็น สส.เขต 22 ที่นั่ง สส.บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง ได้คะแนนรวมทั้งประเทศ  925,349 คะแนน

นอกจากนั้น ยังมีพรรคการเมืองอื่น ๆ อาทิ พรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ ที่จะส่งคนลงแข่งขันชิงเก้าอี้ สส.ด้วย

“นับถอยหลัง 120 วัน” จึงไม่ใช่เพียงการนับเวลาไปสู่การยุบสภา แต่คือ การก้าวเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของการเมืองไทย การเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2569 จะเป็นจุดตัดสินว่าพรรคการเมืองใดจะได้เสียงข้างมาก และประเทศจะได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพเพียงพอหรือไม่

สำหรับประชาชน สิ่งที่ต้องจับตาคือ “กติกาเลือกตั้ง” และ “การบริหารจัดการของ กกต.” ที่จะเป็นตัวชี้ขาดความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งครั้งนี้ ขณะเดียวกัน การแข่งขันเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิจ และสังคม จะเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 50 ล้านคนทั่วประเทศ

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่เดิมพันไม่เพียงการจัดตั้งรัฐบาล แต่ยังหมายถึงทิศทางเศรษฐกิจและอนาคตการเมืองไทย...

                         ++++++++
 

“เลือกตั้ง-ทำประชามติ”
ประชาชนหย่อนบัตร 4 ใบ

ในการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแผนจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แต่สนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามนโยบายที่เคยแถลงต่อรัฐสภา

นายบวรศักดิ์ ระบุชัดเจนว่า ประชามติที่จะจัดขึ้นพร้อมการเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 จะมีเพียง 2 ประเด็นหลักตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้แก่

1.ประชาชนจะเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

2.ประชาชนจะเห็นชอบกับวิธีการและเนื้อหาที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว ตามมาตรา 256 (อนุมาตรา 1-6) โดยจะไม่มีการลงประชามติเพื่อพิจารณาเนื้อหาโดยตรงของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ส่วนหมวด 1 และหมวด 2 นายบวรศักดิ์ ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทย และอีกหลายพรรคใหญ่ได้ประกาศชัดเจนว่า จะไม่แตะต้องหมวดนี้ 

ในส่วนของประชามติยกเลิกเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา นายบวรศักดิ์ ชี้แจงว่า การทำประชามติแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 6,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงวางแผนจัดประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้ง สส. เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน

ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะต้องใช้บัตรเลือกตั้งทั้งหมด 4 ใบ ได้แก่

1.บัตรเลือกตั้ง สส.เขต

2.บัตรเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ

3.บัตรประชามติ 2 คำถามเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ

4.บัตรประชามติเรื่องยกเลิกเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา

นายบวรศักดิ์ ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือ องค์กรอิสระใด ๆ และทุกกรณีที่กำลังอยู่ในกระบวนการ เช่น เรื่อง สว. หรือ คดีเขากระโดง จะให้ดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส โดยไม่มีการใช้อำนาจของรัฐประโยชน์ทางการเมือง

รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,136