เปิดสูตร“อนุทิน”กุมความได้เปรียบก่อนยุบสภา-เลือกตั้งใหม่

26 ก.ย. 2568 | 05:10 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.ย. 2568 | 05:34 น.

อนุทิน ชาญวีรกูล : “จะยุบสภาภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2569 เพื่อคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน ให้พวกเขาได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งภายในเดือน มี.ค. หรือ อย่างช้าต้น เม.ย.69”

KEY

POINTS

  • นายกฯ อนุทินประกาศจะยุบสภาภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2569 เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือน มี.ค. หรือ เม.ย. 2569 พร้อมกับการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • จับตากลยุทธ์จัดสรรอำนาจโดยมอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีดูแลเขตตรวจราชการในภูมิภาคต่างๆ หวังเป็นการปักหมุดทางการเมืองและสร้างฐานเสียงล่วงหน้า?
  • พรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลได้คุมพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น ภาคใต้ และ ภาคอีสานทั้งหมด ซึ่งเป็นการสร้างความได้เปรียบและรุกคืบฐานเสียงของพรรคฝ่ายค้าน

หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกของรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” เมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 ก.ย. 2568 นายอนุทิน ได้แถลงตอนหนึ่งยืนยันว่า งานในด้านนิติบัญญัติรัฐบาลจะจัดให้มีการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2569  

“ในฐานะนายกฯ ผมจะยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ผมจะยุบสภาภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2569 เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อให้พวกเขาได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งภายในเดือน มี.ค. 2569 หรือ อย่างช้าต้นเดือน เม.ย. 2569  สุดแล้วแต่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นผู้กำหนดต่อไป” นายกฯ กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า เนื่องจากรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านเวลา ทุกหน่วยจึงต้องปรับตัวให้เป็นตามกรอบเวลาการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และแก้ปัญหาให้ประชาชนให้ได้เร็วและมากที่สุด 

“คณะรัฐมนตรีของผมทุกคนต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด สัปดาห์ละ 7 วัน ทำโดยไม่มีความละล้าละลังใดๆ จะเป็นการทำงานในมิติใหม่ของคณะรัฐมนตรีของประเทศไทย คณะรัฐมนตรีของพี่น้องประชาชน และการประชุม ครม.จะดำเนินไปตามความจำเป็น ไม่จำเป็นต้องประชุมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าจำเป็นจะต้องเร่งผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อนำไปสู่พี่น้องประชาชน แล้วเราอาจจะประชุมคณะรัฐมนตรีมากกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะปัญหาของประเทศเรารอไม่ได้”

                        เปิดสูตร“อนุทิน”กุมความได้เปรียบก่อนยุบสภา-เลือกตั้งใหม่

นอกจากนายกฯ จะแถลงชัดว่าจะ “ยุบสภา” ภายใน 4 เดือน นับแต่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (29-30 ก.ย. 68) เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่แล้ว อีกสัญญาณที่ถูกน่าจับตาคือ “การจัดสมดุลอำนาจใน ครม.” ผ่านคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 303/2568 เรื่องการมอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำกับการปฏิบัติราชการใน 18 เขตตรวจราชการ

1.ยุทธศาสตร์สมดุล ครม.-สมดุลการเมือง ด้วยการมอบหมายเขตตรวจราชการครั้งนี้ สะท้อนยุทธศาสตร์การจัดสรรพื้นที่ที่ไม่ใช่เพียงงานบริหารราชการแผ่นดิน แต่ยังเป็นการ “ปักหมุดการเมือง” ในเชิงยุทธศาสตร์

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯและรมว.คมนาคม ได้คุม ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี) และฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล) ครอบคลุมพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทย

นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯ ได้คุม  อีสานครบทั้ง 4 เขต ตอนบน 1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี), ตอนบน 2 (นครพนม มุกดาหาร สกลนคร), ตอนล่าง 1 (ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์) และตอนล่าง 2 (ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี) ตอกย้ำภาพภูมิใจไทยขยายจากบุรีรัมย์ไปสู่จังหวัดรอบข้าง

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ–รมว.เกษตรฯ กำกับทั้งดูแลชายแดนใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) และ ภาคเหนือตอนบนทั้ง 2 เขต (เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน และ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่) ครองสองพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่อาจช่วยเพิ่มฐานคะแนนเสียงให้พรรคกล้าธรรม

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รมว.คลัง รับผิดชอบปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ) ฐานเสียงสวิงที่มีผลชี้ขาดผลการเลือกตั้ง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ดูแลภาคตะวันออกทั้งหมด 2 เขต (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว)

ขณะที่รมต.ประจำสำนักนายกฯ  ได้คุมพื้นที่ภาคกลางและเหนือตอนล่าง ช่วยสร้างช่องทางปักธงของ“ภูมิใจไทย”ในพื้นที่ที่ยังไม่แข็งแรง

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า การจัดสมดุลไม่เพียงป้องกัน “การกินรวบ” ของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่ยังเป็นการปักหมุดกระจายเครือข่ายพรรคร่วมรัฐบาลลงในทุกภูมิภาคสำคัญ

2.ความหมายเชิงเลือกตั้ง จากราชการสู่ฐานคะแนน การมอบหมายเขตตรวจราชการเปิดโอกาสให้รัฐมนตรี เข้าถึงกลไกราชการระดับจังหวัด ทั้งผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการ สิ่งนี้หมายถึงการได้ สร้างเครือข่ายท้องถิ่น-กลไกในพื้นที่ ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นคะแนนนิยมในสนามเลือกตั้ง

ใต้ : ฐานเสียงเดิมของประชาธิปัตย์ที่ภูมิใจไทยพยายามเจาะ
อีสาน : สมรภูมิหลักของเพื่อไทยที่ถูกฝ่ายรัฐบาล “ปักหมุด” ครบทุกเขต

ปริมณฑล : ฐานเสียงสวิงที่มี สส.จำนวนมาก มักเป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล

เหนือ-ชายแดนใต้ : เวทีสร้างบทบาทของ “ธรรมนัส” ที่ต่อยอดเป็นอำนาจต่อรองในระดับชาติ

นี่จึงไม่ใช่เพียงการบริหารราชการ แต่เป็น “เกมเลือกตั้งล่วงหน้า” อย่างชัดเจน

3. ได้เปรียบ-เสียเปรียบ

ได้เปรียบ : รัฐมนตรีมีเวทีโชว์ผลงาน, งบลงทุน-โครงการพัฒนาจะถูกเชื่อมโยงกับผู้กำกับ, สามารถสื่อสารตรงกับประชาชนว่า “รัฐบาลนี้ดูแลพื้นที่โดยตรง

เสียเปรียบ : หากถูกมองว่าใช้กลไกราชการเพื่อผลทางการเมือง จะกลายเป็นดาบสองคม “ฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะเพื่อไทย สามารถโจมตีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการเอื้อพรรคตัวเอง

4. เกมเลือกตั้ง 2569 : ใครได้ ใครเสีย

ภูมิใจไทย : ได้เปรียบมากที่สุด ครองทั้งใต้-อีสาน และปริมณฑล
กล้าธรรม : แม้มี“ธรรมนัส”เพียงคนเดียว แต่ได้โซนเหนือ-ใต้ที่เป็นยุทธศาสตร์

เพื่อไทย : เสียเปรียบอย่างชัดเจน อีสานถูกฝ่ายรัฐบาล “ยึดพื้นที่” ครบทุกเขต

หากรัฐมนตรีลงพื้นที่ต่อเนื่องและเกิดผลงานจริง มีโอกาสกวาด สส.เพิ่มในการเลือกตั้งใหญ่ แต่ถ้า “พูดแล้วไม่ทำ” จะสะท้อนกลับเป็นคะแนนลบ

บทสรุป “อนุทิน” กำลังเดินเกมสองชั้นในเวลาเดียวกัน ทั้งการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ ครม.ชุดใหม่ และ ปูทางเลือกตั้งล่วงหน้าผ่านการจัดสมดุลอำนาจในภูมิภาค

สิ่งนี้ทำให้ศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 ไม่ได้เริ่มต้นที่วันยุบสภา แต่เริ่มต้นแล้วตั้งแต่ วันที่ ครม.ใหม่ถูกจัดวางเพื่อ “ปักหมุด” พื้นที่ 

รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4135