ฝันให้ไกลไปให้ถึง? ศึกชิงเก้าอี้ สส. 4 พรรคใหญ่ตั้งเป้าสูงลิบ

11 ต.ค. 2568 | 01:00 น.

ฝันให้ไกลไปให้ถึง? ศึกชิงเก้าอี้ สส. 4 พรรคใหญ่ตั้งเป้าสูงลิบ : รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4139

KEY

POINTS

  • พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมาย สส. ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่ง โดยเชื่อว่ากระแสความนิยมของพรรคประชาชนคู่แข่งลดลง
  • พรรคประชาชนประกาศเป้าหมายสูงสุดที่ 250 ที่นั่ง โดยมั่นใจว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนถึง 20 ล้านเสียง
  • พรรคภูมิใจไทยตั้งเป้า 120 ที่นั่งขึ้นไป โดยใช้กลยุทธ์ดึง สส. และ "บ้านใหญ่" ย้ายพรรค ขณะที่พรรคกล้าธรรมหวัง 80 ที่นั่ง

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางสภาฯ ว่า จะ “ยุบสภา” ในวันที่ 31 มกราคม 2569 ทำให้คาดคะเนได้ว่า วันเลือกตั้งทั่วไป จะไม่เกิน 29 มีนาคม 2569 (เลือกตั้งภายใน 45-60 วัน)  

การประกาศดังกล่าวได้จุดชนวนให้สนามการเมืองไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะเป็นเพียงรัฐบาลเฉพาะกาล (120 วัน) แต่การเลือกตั้งครั้งนี้คือ บทพิสูจน์สำคัญของทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็น “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” 

 

การเมืองไทยช่วงโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภา จึงคึกคัก เกิดปรากฏการณ์ “ย้ายค่าย–ย้ายพรรค-เปิดตัวผู้สมัคร” สส. หรือ นักการเมือง เกิดขึ้นต่อเนื่อง  

ขณะเดียวกัน แต่ละพรรคการเมืองได้ประเมินเป้าหมายของ สส.ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงไว้ “สูงลิบ”

“เพื่อไทย”เป้ากวาด 200 สส. 

พรรคเพื่อไทย (พท.) ภายใต้การนำของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค ประกาศความเชื่อมั่นว่า จะสามารถกวาดที่นั่ง สส. ได้ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่ได้รวม 141 ที่นั่ง (สส.เขต 112 , บัญชีรายชื่อ 29) คะแนนรวมทั่วประเทศ ได้ 10.96 ล้านเสียง

นายสุริยะ ชี้ว่า จากการติดตามกระแสโซเชียลมีเดียหลัง “พรรคประชาชน” ตัดสินใจสนับสนุนให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า กระแสตอบรับของประชาชนต่อพรรคประชาชน ลดลงอย่างมาก จากที่แต่ละโพสต์เคยมียอดกดถูกใจหลักหลายหมื่นครั้ง สูงถึง 8 หมื่นไลก์ ปัจจุบันเหลือเพียงหลักหมื่นต้น ๆ เท่านั้น

“ที่ผ่านมาแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ก็ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับแคนดิเดตของพรรคประชาชน การที่กระแสพรรคประชาชนตกลงไป จึงเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทย มีแนวโน้มจะได้จำนวน สส. เพิ่มขึ้น เชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่ง บวกลบไม่เกินร้อยละ 10 แล้วรอดูกันตอนเลือกตั้งว่าจะพิสูจน์ได้จริงหรือไม่” 

ผอ.เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ยังประเมินว่า พรรคประชาชนอาจได้จำนวน สส.ไม่เกิน 100 ที่นั่ง ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเคยมี สส.เดิมราว 70 ที่นั่ง และดึงอดีต สส.จากพรรคอื่นเข้ามาเพิ่มเติม น่าจะมีจำนวนรวมประมาณ 120 ที่นั่ง

“ประชาชน”หวัง สส. 250 ที่นั่ง

ในทางกลับกัน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ได้ออกมาตอบโต้การประเมินของ นายสุริยะ โดยแสดงความมั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนถึง 20 ล้านเสียง หรือคิดเป็นจำนวนที่นั่ง สส. ประมาณ 250 ที่นั่ง (สส.เขต + บัญชีรายชื่อ) 

อันสูงกว่าผลการเลือกตั้งปี 2566 ในนามพรรคก้าวไกลเดิม ที่ได้ 151 ที่นั่ง แยกเป็น สส.เขต 112 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 29 ที่นั่ง คะแนนนิยมรวม 14,438,851 คะแนน

นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า การตั้งเป้าหมายสูงเป็นเรื่องปกติ แต่ความมั่นใจของพรรคประชาชน มาจากกระบวนการคัดสรรผู้สมัครที่เข้มข้นและเปิดกว้างให้สมาชิกมีส่วนร่วมสะท้อนเสียงประชาชนมากที่สุด 
นอกจากนี้ ยังชี้ว่า ปัญหาการย้ายพรรคหรือปรากฏการณ์ "งูเห่า" ในอดีต เป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของการผลักดัน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสร้างการเมืองที่ตรงไปตรงมา

                            ฝันให้ไกลไปให้ถึง? ศึกชิงเก้าอี้ สส. 4 พรรคใหญ่ตั้งเป้าสูงลิบ

ภูมิใจไทยเป้าหมาย 120 ที่นั่งอัพ

พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค และปัจจุบันก้าวขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล กำลังเป็นพรรคที่เนื้อหอมอย่างมาก 

โดยมีเป้าหมายกวาดที่นั่ง สส.อย่างน้อย 120 ที่นั่ง จากเดิมที่เคยได้รวม 71 ที่นั่ง คะแนนรวมทั่วประเทศ  1,138,202 คะแนน (สส.เขต 68, บัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง ในปี 2566) โดยนอกจากพื้นที่ภาคอีสานแล้ว กำลังเน้นการขยายฐานในพื้นที่สำคัญอย่าง ภาคใต้ ที่ตั้งเป้าอย่างน้อย 30 ที่นั่ง จากทั้งหมดที่ภาคใต้มี สส. 60 ที่นั่ง

รศ.ดร.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความเห็นว่า ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นคือ การเคลื่อนย้ายใหญ่ของนักการเมือง โดยเฉพาะกลุ่ม “บ้านใหญ่” จากฝ่ายเพื่อไทย ที่ทยอยย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย อย่างต่อเนื่อง (ถูกขนานนามว่า “พรรคภูมิใจดูด”)  

เนื่องจากนักการเมืองส่วนใหญ่มอง "ประโยชน์ทางการเมืองและความอยู่รอดเป็นหลัก" พรรคภูมิใจไทยจึงกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูด เพราะมีแนวโน้มชนะสูง และคาดการณ์ว่า ภูมิใจไทยอาจได้ สส. ไม่ต่ำกว่า 120 ที่นั่ง 

โดยเชื่อว่า กลุ่มจัดตั้งรัฐบาลยังคงอยู่ในมือ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ที่มีฐานเสียง กลุ่มทุน และ การสนับสนุนจากกองทัพ ซึ่งสะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ไม่ได้ต่างจาก “เหล้าเก่าในขวดใหม่”

“กล้าธรรม”หวังปักธง 80 ที่นั่ง 

พรรคกล้าธรรม ซึ่งมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค เป็นหัวเรือใหญ่ มีความเคลื่อนไหวล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 โดยการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 15 คน หลายคนเป็นอดีต สส. จากพรรคพลังประชารัฐ 

ร.อ.ธรรมนัส ตั้งเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า จะได้ สส. ไม่น้อยกว่า 80 ที่นั่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แม้จะเติบโตทีละก้าว แต่ ร.อ.ธรรมนัส แสดงความมั่นคงในทิศทางของพรรคภายใต้การนำของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค โดยเชื่อว่าจะสามารถก้าวสู่ชัยชนะ และมี สส.ครอบคลุมทุกเขตเลือกตั้งได้ จากปัจจุบันที่มี สส.รวม 26 คน 

การเคลื่อนไหวของ “พรรคกล้าธรรม” จึงเป็นอีกปัจจัยที่น่าจับตาในสมการการเมืองครั้งใหม่ ที่สามารถเป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” กับขั้วใดก็ได้ 

ฝันให้ไกลไปให้ถึง?

แม้ปรากฏการณ์ ย้ายค่าย-ย้ายพรรค จะยังคงดำเนินต่อ แต่ในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ต่างฝ่ายต่างตั้งเป้าไว้สูงลิบ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และภาพลักษณ์ของ “พรรคแม่เหล็ก”

พรรคเพื่อไทย วางหมุดหมาย 200 ที่นั่ง มั่นใจฐานเสียงเหนือ-อีสานยังเหนียวแน่น และได้แรงหนุน สส.ไหลกลับ

พรรคประชาชน ประกาศเป้าสูงสุดถึง 250 ที่นั่ง พร้อมคำมั่นว่าจะกวาด 20 ล้านคะแนนเสียง แม้ต้องเผชิญการไหลออก สส.บางส่วน

พรรคภูมิใจไทย ตั้งเป้า 120 ที่นั่ง เดินเกม “บ้านใหญ่ + ดูด สส.” หวังปักธงภาคใต้ และ ตะวันออก ให้ได้เต็มไม้เต็มมือ นอกเหนือจากภาคอีสาน

พรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส ประกาศความฝัน 80 ที่นั่ง พร้อมท้าทายเวทีการเมืองไทยในฐานะ “ม้ามืดขั้วใหม่”

เมื่อทุกพรรคต่างตั้งเป้าสูงลิบ จึงเหลือเพียงประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า “ฝันของใครจะไปได้ไกลจริง” ในการเลือกตั้งที่ไม่เกินวันที่ 29 มีนาคม 2569 ซึ่งผลลัพธ์จะสะท้อนไม่เพียงแค่จำนวนที่นั่งในสภา แต่ยังชี้ชะตาทิศทางการเมืองไทย ในอีก 4 ปีข้างหน้า

รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4139