KEY
POINTS
เมื่อสัญญาณยุบสภา วันที่ 31 มกราคม 2569 ถูกตีกรอบชัดว่า ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง สส.ใหม่ ในวันที่ 29 มีนาคม 2569 ทุกสายตาทางการเมืองจับจ้องไปที่ “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” และการขับเคลื่อนกลยุทธ์ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” ที่กำลังเดินหน้า “พลังดูดสีน้ำเงิน” อย่างเข้มข้นในทุกภูมิภาค
จากพรรค “บ้านใหญ่” ที่ยึดพื้นที่ท้องถิ่น แต่ขาดกระแสสังคมใหญ่ บัดนี้ “ภูมิใจไทย” กำลังพยายามเชื่อมฐานเสียงบ้านใหญ่กับกระแส “ชาตินิยม” ที่ถ่ายโอนจากกองทัพและกระแสอนุรักษ์นิยม หากสำเร็จ อาจทำให้พรรคนี้ขยับเกิน 100 ที่นั่ง (เป้าหมาย สส. 120 ที่นั่ง) และต่ออายุ “อนุทิน” ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 อีกสมัย
อีสานใต้“แดง”ทรุดน้ำเงินพุ่ง
สมรภูมิเลือกตั้งพื้นที่ “อีสานใต้” กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิใจไทย หลังจากกระแสพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เคยครองฐานเสียงแน่นหนา เริ่มร่วงหล่นลงอย่างชัดเจน
อุบลราชธานี : จากอดีตอาณาจักรเพื่อไทย แต่ปี 2566 ได้เพียง 4 ที่นั่ง ที่เหลือกระจายไปอยู่กับ ภูมิใจไทย, ไทรวมพลัง, ไทยสร้างไทย
ศรีสะเกษ : เครือข่าย “ไตรสรณกุล” บ้านใหญ่ของภูมิใจไทย กวาดชัยชนะเลือกตั้งนายก อบจ. ขณะที่เลือกตั้งซ่อม สส.ล่าสุด “จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล” ของ ภท. ชนะเพื่อไทยแบบขาดลอย 8,000 คะแนน ตอกย้ำแนวโน้มโกยยกจังหวัด
สุรินทร์ : ในการเลือกตั้งปี 2566 ภูมิใจไทยได้ สส. 5 เขต เพื่อไทย ได้ 3 เขต แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุด “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” สส.เพื่อไทย มีแนวโน้มสูงที่จะย้ายค่าย หากเกิดขึ้นจริง เท่ากับ “ภูมิใจไทย” มีโอกาสยึดได้ทั้ง 8 เขต
บุรีรัมย์ : ฐานที่มั่นดั้งเดิมของ “ครูใหญ่เนวิน” มีโอกาสสูงจะคว้าเก้าอี้ สส.ยกจังหวัดอีกครั้ง ทั้ง 10 ที่นั่ง เหมือนปี 2566
นครราชสีมา : เดิมเป็นพื้นที่แข็งของเพื่อไทย 12 ที่นั่ง แต่ด้วยปัญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้ฐานเสียงสั่นคลอน เปิดทางให้ภูมิใจไทยแทรกตัว โดยเฉพาะบทบาท “เสี่ยแป้งมัน” วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ที่อาจย้ายค่ายไปยังไทรวมพลัง หรือ กลับมาหนุนภูมิใจไทย
ดีลลับการเมือง
พื้นที่อีสานในหลายจังหวัด โดยเฉพาะ “ศรีสะเกษ” ที่มี สส. 9 ที่นั่ง การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจถูกกำหนดโดย “ดีลบ้านใหญ่-บ้านรอง” หากตกลงแบ่งเขตให้กัน ผู้หลีกทางจะได้ทั้ง “ค่าตอบแทน” ร่วม 50 ล้านบาท และตำแหน่งบริหารในทีมรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เป็นตัวแปรที่ทำให้ภูมิใจไทยได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์
ส่วนจังหวัดมหาสารคาม “ครูใหญ่เนวิน” มีรายงานว่า ได้พูดคุยกับ สุทิน คลังแสง อดีตรมว.กลาโหม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อดีต สส.มหาสารคาม เขต 5 สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อดึงตัวมาอยู่กับค่ายน้ำเงิน
ขณะเดียวกัน ได้มีกระแสข่าวว่า นายทุน “ตระกูล ส.” เตรียมยกทีม สส. 30 คน ไปสร้างก๊กใหม่หนุนพรรคน้ำเงิน เพื่อก้าวสู่อำนาจ
ภาคกลาง : บ้านใหญ่ภท.แข็ง
ภาคกลางถือเป็น “หลังพิง” สำคัญของภูมิใจไทย ด้วยเครือข่ายบ้านใหญ่มากมาย อาทิ
ตระกูลไทยเศรษฐ์ (อุทัยธานี)
ตระกูลปริศนานันทกุล (อ่างทอง)
ตระกูลพันธ์เจริญวรกุล (อยุธยา)
แนวโน้มยังชี้ชัดว่า บ้านใหญ่อีกหลายจังหวัดพร้อมพาเหรดเข้าสังกัดพรรคสีน้ำเงิน โดยเมื่อกระแส “ชาตินิยม” จากทหารและกลุ่มอนุรักษ์นิยมถูกถ่ายโอนเข้ามา จะยิ่งเสริมพลังให้บ้านใหญ่ภาคกลางสยายปีกได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน พื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี มี 3 เขตเลือกตั้ง อยู่ในมือบ้านใหญ่ 3 ตระกูล “บุญส่ง สมใจ-สุนทร วิลาวัลย์-สมาน กุมภะกาญจนะ”
เขต 1 อำนาจ วิลาวัลย์ ภูมิใจไทย เขต 2 นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา พรรคก้าวไกล ถูกขับจากปมคุกคามทางเพศ ไปอยู่ พรรคชาติพัฒนากล้า (ชยุต ภุมมะกาญจนะ) เขต 3 นายสฤษดิ์ บุตรเนียร ภูมิใจไทย
ว่ากันว่า “ชาดา ไทยเศรษฐ์” สส.อุทัยธานี แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นมือประสาน ดึงอยู่ภูมิใจไทย หวังโกยทั้ง 3 ที่นั่ง
ภาคใต้ : บ้านใหญ่แห่ซบ
ฐานเสียงคนใต้มีความเข้มข้นทาง “ชาตินิยม” มาอย่างยาวนาน การเคลื่อนตัวของ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ - ทีมเลขาฯขิง” ที่แยกทางจากรวมไทยสร้างชาติ มาซบภูมิใจไทย จึงเป็นสัญญาณสะท้อนว่า “ภูมิใจไทย” กำลังขยายปีกไปในดินแดนด้ามขวาน
นอกจากนี้ บ้านใหญ่ภาคใต้หลายตระกูล อาทิ บุญญามณี (สงขลา) และ โล่สถาพรพิพิธ (ตรัง) มีแนวโน้มสูงที่จะย้ายค่ายตามกระแส
เพื่อไทยหด-ทางสองแพร่งชินวัตร
ในอีกฟาก “เพื่อไทย” ที่เคยเป็นพรรคมหาชน กำลังเผชิญ 2 ทางเลือกสำคัญ
ถอยฉาก : เปิดทางกลุ่มทุนพันธมิตร เข้ามาปฏิรูปพรรค ปรับโครงสร้าง-สร้างเลือดใหม่
เดินหน้าสู้ : ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” ยืนค้ำพรรค พร้อมดันลูกเขย “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ขึ้นชิงนายกฯ แต่ต้องยอมรับสภาพพรรคต่ำร้อยครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การเลือกตั้งปี 2566 เพื่อไทยได้ 10.8 ล้านเสียง แต่แนวโน้มครั้งหน้าอาจเหลือเพียงครึ่งเดียว และจังหวัดที่เคยกวาดยกจังหวัด 16 แห่ง อาจจะเหลือเพียง 4 แห่งเท่านั้น
เพราะ “ทายาทชินวัตร” อาจมิใช่จุดขายอีกต่อไป
บันไดขั้น 2 “อนุทิน”คัมแบ็กนายกฯ
การเคลื่อนไหวของนายทุนการเมืองสาย ส. ที่ยกทีม สส. กว่า 30 คน เตรียมสร้างก๊กใหม่หนุนภูมิใจไทย คือสัญญาณชัดว่า “บันไดขั้น 2” กำลังถูกปูทางให้พรรคสีน้ำเงินก้าวสู่การเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง ขณะที่ สส.เพื่อไทย ในอีสานและเหนือกำลังหวั่นไหวเรื่องท่อน้ำเลี้ยง
เสียงสะท้อนลึกถึงกรณี คำร้องขอพระราชทานอภัยโทษที่ถูกตีกลับ และ สัญญาณลับจากอำนาจอนุรักษ์นิยม ตอกย้ำว่า การเมืองไทยกำลังเข้าสู่เกมใหม่ ที่ “เพื่อไทย” จะไม่ใช่แกนนำหลักอีกต่อไป
ศึก “เลือกตั้ง 2569” จึงไม่ใช่เพียงการช่วงชิงเก้าอี้ในสภา แต่คือ “ศึกเครือข่ายบ้านใหญ่ + กระแสชาตินิยม” ที่จะปั้นพรรคภูมิใจไทย สู่พรรคมหาชนระดับ 100 ที่นั่ง และเปิดทาง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 อีกสมัย
ในขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ของตระกูลชินวัตร กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ พรรคจะเลือกถอยฉาก หรือเดินหน้าสู้ แต่ทุกเส้นทางต่างสะท้อนว่า “ยุคพรรคต่ำ 100” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4137