ศาลปกครองชี้ต้องออกคำสั่งใหม่เรียก“ยิ่งลักษณ์”ชดใช้จำนำข้าว

26 พ.ค. 2568 | 09:48 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ค. 2568 | 09:54 น.

ศาลปกครองชี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกคำสั่งใหม่เรียกชดใช้จำนำข้าวให้เป็นไปตามคำพิพากษา อธิบายละเอียดยิบ “ยิ่งลักษณ์” ต้องชดใช้ “คดีจำนำข้าว” ส่วนไหน เท่าไหร่

น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะกรรมการประชาพันธ์ ศาลปกครอง เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานศาลปกครอง เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เรื่อง ข้อกฎหมายคดีฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ว่า การออกมาชี้แจงนี้ เพื่อให้สังคมประชาชนเข้าใจกระบวนการพิจารณาของศาลว่า เป็นการพิจารณาเฉพาะประเด็นคำสั่งที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ นายกรัฐมนตรี กับ พวกทั้ง 9 เท่านั้น 

เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23  บาท  เฉพาะส่วนที่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน10,028,861,880.83 บาท แล้ว  บทบาทหน้าที่ของศาลปกครองถือว่ายุติแล้ว

“การดำเนินการใดใดจากนี้ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และ เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ต้องไปดำเนินการออกคำสั่งใหม่และปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา”

น.ส.สายทิพย์  อธิบายเพิ่มเติมว่า คดีนี้เป็นการฟ้องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งโดนคำสั่งของกระทรวงการคลังที่เรียกให้รับผิดใดใช้ค่าสินไหมโครงการจำนำข้าวเปลือกไป 3.5 หมื่นล้านบาท จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงนำคำสั่งนี้มาฟ้องต่อศาลว่า คำสั่งนี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 

ศาลก็ได้ทบทวน โดยพิจารณาแล้ว เห็นว่า โคงการจำนำข้าวนั้นประกอบด้วยหลายขั้นตอน จึงวินิจฉัยว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในส่วนที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายนั้น ไม่ต้องมีความรับผิด แต่ในส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ คือ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมการปฏิบัตินโยบาย ดังนั้น การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี มีปัญหาการทุจริต มีการรายงานเข้ามาโดยหลายหน่วยงาน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ติดตามกำกับดูแลตรวจสอบการทุจริตในส่วนนี้

“ดังนั้นเฉพาะในส่วนนี้ที่ศาลปกครองเห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์ จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่กระทรวงการคลัง เขาเรียกมา 3.5 หมื่นล้านบาท นั่นแหละ แต่ศาลตรวจสอบแล้ว ว่า ไม่ใช่ทั้งหมด ที่คุณยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ แต่เป็นตัวเลขเพียงแค่ 10,028 ล้านบาท เนื่องจากโครงการจีทีจี 

ผลของคดีศาลถึงบอกว่า คำสั่งเรียกเงินนั้นชอบบางส่วน และไม่ชอบบางส่วน ส่วนที่ชอบด้วยกฎหมายก็คือ 10,028 ล้านบาทนี้ กระทรวงการคลังก็มีหน้าที่ต้องไปดำเนินการเรียกจาก คุณยิ่งลักษณ์ต่อไป” น.ส.สายทิพย์ กล่าว                  

                     สายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

เมื่อถามว่า นายรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องออกคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้เงินดังกล่าว ภายในกรอบระยะเวลาเท่ใด น.ส.สายทิพย์ กล่าวว่า อันนี้เป็นขั้นตอนเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ความรับผิดทางละเมิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเรื่องนี้คือกระทรวงการคลัง เขาก็ต้องไปออกมาตรการ อาจจะเป็นการแจ้งให้เอาเงินมาชำระ ถ้าหลังจากนั้นยังไม่มีการชำระ อาจจะมีการดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินต่อไป 

“เป็นกระบวนการของเจ้าหนี้กับลูกหนี้ปกติ ซึ่งตอนนี้กระทรวงการคลังถือว่าเป็นเจ้าหนี้ ที่ต้องไปตามเอาค่าเสียหายคืนมา ส่วนทางฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งถือเป็นลูกหนี้นั้น จะมีการเจรจาหรือประสานงานกับกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องออกคำสั่งให้ใช้เงิน เขาก็ต้องเจรจาตกลงกันไป ส่วนเรื่องระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับกฎหมายของกระทรวงการคลัง”  

เมื่อถามว่าทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า อาจจะมีการหักลบกลบหนี้กับยอดขายข้าวก่อนหน้านี้ เพื่อที่สุดท้ายน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะไม่ต้องจ่ายสักบาท จริงๆ แล้วสามารถหักลบกลบหนี้ได้หรือไม่ น.ส.สายทิพย์ กล่าวว่า ก่อนที่จะไปพูดถึงหักลบกลบหนี้กันได้หรือไม่ แต่สำหรับคดีนี้ในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้น ถือว่าสิ้นสุดแล้วในทางปกครอง ในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่สุด 

“กรณีที่จะเกิดการทบทวนขึ้นใหม่ จะอยู่ในมาตรา 75 ของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครอง โดยสาระสำคัญเขียนว่า กรณีที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ซึ่งขณะนี้คดีนี้ก็เป็นเช่นนั้น ถ้า

ในกรณีผู้มีส่วนได้เสีย อาจมีคำขอให้ศาลปกครองพิพากษาคดีนั้นใหม่ได้มี 4-5 เงื่อนไข แล้วเงื่อนไขที่ทนายความอ้างถึงเช่น อาจจะขอให้พิจารณาได้ ถ้ากรณีคำพิพากษานั้นทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริง แล้วมีข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ เช่นที่เขาอ้างว่า มีข้อเท็จจริงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องผ่านขั้นแรกมาก่อน คือ คำขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน 90 วัน ศาลก็พิจารณาว่า มีเหตุตามเงื่อนไขของมาตรา 75 นี้หรือไม่”