กว่า 13 ปีโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยังคงเป็นภาระหนี้สาธารณะที่รัฐบาลต้องแบกรับ จากการตรวจสอบเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 รายการแผนบริหารหนี้สาธารณะ พบว่า ตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2572 รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณจ่ายหนี้โครงการจำนำข้าวให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)อีก กว่า 1.3 แสนล้านบาท
เมื่อดูจากรายงานงบการเงินของธ.ก.ส. สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2567 รัฐบาลมีภาระผู้พันการค้ำประกันหนี้โครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตรที่ดำเนินการในช่วงปีการผลิต 2554/2555 ถึง 2556/2557 (พ.ศ. 2554-2557) ยังคงเหลืออยู่ทั้งสิ้น 173,215.98 ล้านบาท แบ่งเป็น:
หนี้เหล่านี้เกิดจากที่รัฐบาลให้ ธ.ก.ส. กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในโครงการ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันและรัฐบาลรับภาระชำระคืนทั้งต้นเงิน ดอกเบี้ย และผลขาดทุนที่เกิดขึ้น
โครงการรับจำนำข้าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการตลอด 5 ฤดูกาล ในช่วงปีการผลิต 2554/2555 ถึง 2556/2557 โดยรับจำนำข้าวเปลือกทั้งหมด 54.35 ล้านตัน ใช้งบประมาณรวม 9.85 แสนล้านบาท เป็นเงินซื้อข้าว 8.57 แสนล้านบาท
ในช่วงแรก คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงิน 269,160 ล้านบาท สำหรับปีการผลิต 2554/2555 ต่อมาในปี 2555/2556 ได้ขยายวงเงินเป็น 240,000 ล้านบาท (ครั้งที่ 1) และเพิ่มอีก 105,000 ล้านบาท (ครั้งที่ 2) โดยต้องไม่เกินกรอบวงเงิน 410,000 ล้านบาท ที่อนุมัติไว้
สำหรับปีการผลิต 2556/2557 ซึ่งดำเนินการภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อนุมัติวงเงินไม่เกิน 92,431 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการและ refinance หนี้เดิม
จากแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 รัฐบาลได้วางแผนตั้งงบประมาณชำระหนี้ต่อเนื่องอีก 5 ปี ดังนี้:
สำหรับปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลตั้งงบรวม 27,935.83 ล้านบาท แบ่งเป็น:
1. ชดเชยภาระต้นเงินและดอกเบี้ย ปี 2554/55: จำนวน 20,063.01 ล้านบาท (71.8%)
2. ชดเชยภาระต้นเงินและดอกเบี้ย ปี 2555/56: จำนวน 7,595.99 ล้านบาท (27.2%)
3. ชดเชยภาระต้นเงินและดอกเบี้ย ปี 2556/57: จำนวน 276.83 ล้านบาท (1.0%)
ภาระหนี้จำนำข้าวนี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของนโยบายที่ส่งผลกระทบระยะยาวต่อการคลังของประเทศ แม้โครงการจะสิ้นสุดลงตั้งแต่ปี 2557 แต่รัฐบาลยุคต่อๆ มายังคงต้องแบกรับภาระชำระหนี้ต่อไป
โครงการรับจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ จึงยังคงเป็นบทเรียนสำคัญเรื่องการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจที่ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนทางการเงินการคลังในระยะยาว