“6 ผู้นำพรรค”โชว์วิชั่น นำพาชาติด้วยเทคโนโลยี ฟื้นเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก

30 มี.ค. 2565 | 05:48 น.

6 ผู้นำพรรคการเมืองร่วมโชว์วิสัยทัศน์หัวข้อ "พรรคการเมืองใหญ่ จะพาประเทศไทยไปทางไหน" แนะปฎิรูประบบราชการ  พัฒนาชาติด้วยนวตกรรม-เทคโนโลยี  เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก 

งาน Nation Dinner Talk 2022: Thailand Future อนาคตประเทศไทย 2022 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 28 มี.ค.2565 ณ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์  เชิญ 6 ผู้นำพรรคการเมืองร่วมโชว์วิสัยทัศน์หัวข้อ "พรรคการเมืองใหญ่ จะพาประเทศไทยไปทางไหน" แนะปฎิรูประบบราชการ  พัฒนาชาติด้วยนวตกรรม-เทคโนโลยี  เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก 


ปชป.เปิดนโยบายแก้ศก.


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติโควิด  เศรษฐกิจ  และการเมือง แต่โควิดสถานการณ์น่าจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ที่ต้องอยู่อีกนานพอสมควร คือ เศรษฐกิจกับการเมือง

ประเด็นทางการเมืองมี 3 เรื่องที่พรรคการเมืองต้องพาประเทศเดินไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องคือ 1.พรรคการเมืองต้องพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น 2. พรรคการเมืองต้องไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย  

 

3.พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าพรรคการเมืองบริหารประเทศแล้วโกงจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหารเกือบจะทุกครั้ง ความซื่อสัตย์จึงเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งของความเป็นนักการเมือง 

ส่วนประเด็นทางเศรษฐกิจ มี 5 ประเด็น คือ ทิศทางที่ประชาธิปัตย์จะทำต่อไป คือเน้นการสร้างเงินและการกระจายเม็ดเงินสู่ระบบ สร้างอัตราการเจริญเติบโตของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำ, เศรษฐกิจต้องทันโลกและทันสมัย, แก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างคนและการพัฒนาคน ต้องดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย    

                                                 จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ตลอด 3 ปีตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล ทำผลงานเกินตัวและ “ทำได้ไวทำได้จริง” เห็นชัดเจน ประกันรายได้เกษตรกร 3 ปี ช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 8,000,000 ครอบครัว ใช้เม็ดเงินทุ่มลงไปในระบบ 350,000 ล้านบาท และการส่งออก ปีที่แล้วปีเดียวทำการส่งออกได้ +17.1% ทำเงินเข้าประเทศ 8.5 ล้านล้านบาท  และปีนี้ตั้งเป้าจะทำให้เกินเป็น 9 ล้านล้านบาท 


ประการสุดท้าย นโยบายประชาธิปัตย์อย่างน้อย 1.ประกันรายได้ต้องเดินหน้าต่อ 2.เศรษฐกิจฐานเกษตรต้องรักษาไว้และต้องอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพใส่เทคโนโลยีใส่นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานเกษตรที่เรียกว่า Bio economyเดินก้าวหน้าต่อไปได้ทำเงินเข้าประเทศ


3.การท่องเที่ยวต้องพัฒนาไปเป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเมืองหลักเมืองรองต้องต่อด้วยการท่องเที่ยวชุมชน 4.การส่งออกสินค้าบริการไม่พอแล้วต้องส่งออก soft powerกลไกเศรษฐกิจยุคใหม่ต้องนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ blockchain Metaverse Green economy ที่เน้นคาร์บอนเครดิต


“เราต้องเดินหน้าพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นและประชาธิปไตยต้องเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ รียกว่าประชาธิปไตยไส้แห้ง หรือประชาธิปไตยท้องกิ่ว แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยท้องอิ่ม หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตยกินได้” นายจุรินทร์ ระบุ


ต้องปลดล็อกประชาชน


ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ประเทศไทย จะออกจากวิกฤติได้ต้องเริ่มแก้ที่วิกฤติการเมืองก่อน เราติดกับดักความขัดแย้ง ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งจนถึงวันนี้


นอกจากนี้ยังมีปัญหาของรัฐราชการ ที่บริหารงานล้มเหลว เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างสูง หนี้ประชาชนและหนี้รัฐบาล ทั้งหมดเกิดจากอำนาจนิยม มันกลายเป็น Money Politics หรือ อำนาจเงิน มีโครงการประชานิยมที่แจกเงินแบบไม่มีประสิทธิภาพ และยังใช้เงินซื้อเสียงล่วงหน้า บิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้ง

                                   คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
 ขณะเดียวกันยังมีรัฐราชการที่กดทับ จากการออกกฎระเบียบต่างๆ เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน ต้องเปลี่ยนเป็นรัฐของประชาชน อำนวยความสะดวกให้ประชาชนทำมาหากินได้ 


สุดท้ายคือเรื่องของกติกา รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ให้มีการสืบทอดอำนาจ ยังมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีก ต้องปลดล็อกประชาชนออกจากสิ่งกดทับ คือใบอนุญาตกฎหมายต่างๆ ที่ล้าสมัยประมาณ 1,500 ฉบับ เราจะออกพ.ร.ก. 1 ฉบับ เพียง 3 สัปดาห์ พักการใช้ใบอนุญาต และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชน  ให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสทำมาหากิน เข้าถึงทุน แหล่งความรู้ มีกองทุน SME กองทุนวิสาหกิจชุมชน กองทุนท่องเที่ยว กองทุนเครดิตประชาชนเพื่อคนตัวเล็ก 


นอกจากนี้ต้อง ทำให้ไทยเป็น Digital Hub ไทยสร้างไทยให้ความสำคัญดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ เราขอลงทุนกับการสร้างคนตั้งแต่ในครรภ์ เรียนดี เรียนฟรี มีคุณภาพ มีสวัสดิการรักษาพยาบาล คนแก่มีบำนาญหรือบำนาญประชาชน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย 


ฟื้นศก.ตั้งแต่ฐานราก


นายอุตตม สาวนายน ผู้ก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สุ่มเสี่ยงและน่าห่วง เราเผชิญวิกฤติเชิงซ้อนที่ตอกย้ำและเขย่าโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เปราะบางอยู่แล้ว ยังต้องพบกับความทุกข์จากค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ผู้ประกอบการถูกซ้ำเติมด้วยต้นทุนการผลิตที่ทะยานขึ้นรวดเร็ว 


และยังมีโครงสร้างรัฐราชการที่เป็นโครงสร้างรวมศูนย์การตัดสินใจและอำนาจมาในอดีต แต่โครงสร้างแบบนี้ไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากวิกฤตินี้ หากไม่มีการปฏิรูปนับวันจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและอนาคตที่สดใสของคนไทยหรือไม่ 

                                           อุตตม สาวนายน
ถึงเวลาที่พวกเราต้องร่วมกันช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ซึ่งมีสิทธิ์กำหนดชีวิตและอนาคตของตัวเอง นำมาผสมผสานกับประสบการณ์ของคนรุ่นที่ทำงานเป็นระยะเวลาสิบๆ ปี เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการการบริหารงานของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะกลุ่ม วันนี้อยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันสร้างอนาคตประเทศไทย


พร้อมเสนอแนวทาง 5 สร้าง คือ สร้างเศรษฐกิจฐานรากไทยให้เข้มแข็ง, พัฒนาภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจประเทศไทยมีความจำเป็นต้องก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ, สร้างสังคมที่เป็นธรรมและเกื้อกูล, สร้างคนและวิทยาการให้มีความพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในอนาคต และ ร่วมสร้างการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่สร้างความร้าวฉาน เป็นประชาธิปไตยแท้จริง


พัฒนาชีวิตด้วยศก.สีเขียว


นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคเสนอแนวคิดการนำเทคโนโลยีการเกษตร มาบวกกับองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ หรือปราชญ์ชาวบ้าน ยกตัวอย่างเยอรมันประสานกับไทย เอาแนวคิดหลักการปลูกข้าวแบบใหม่ที่ใช้น้ำน้อย ใช้ปุ๋ยน้อยลง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้มากขึ้น ได้ผลผลิตต่อไร่มากขึ้น

                                        วราวุธ ศิลปอาชา
ดังนั้น เราต้องการส่งของที่มีราคาแพงที่สุด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมประเทศไทยน้อยที่สุด นี่คือเป้าหมายที่จะเดินไปข้างหน้า ขณะเดียวกันสร้างจุดแข็งใหม่ ช่วยเสนอแนวคิดพัฒนาชีวิตด้วยเศรษฐกิจสีเขียว จากเดิม เราใช้ Black Gold หรือ น้ำมัน หรือ ฟอสซิลฟีโอ เราจะเปลี่ยนมาเป็น Green Gold นี่คือคาร์บอนเครดิต

                                      
 เมื่อมีแนวคิด Green Gold แล้ว จะนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามา การผลิตคริปโตเคอเรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และเราจะทำ Green Coin ขึ้นมา รัฐบาลจะสนับสนุนคอยตัวนี้ตามความเหมาะสมต่อไป และจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนซื้อขายเทรดดิ้งคาร์บอนเครดิตตลอดเวลา


เปลี่ยนวิธีคิดบริหารชาติ 


นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ระบุว่า ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤตินี้อาจไม่เหมือนในอดีต เพราะเป็นวิกฤติระดับประชาชน ซึ่งประชาชนวันนี้มีปัญหาเรื่องการทำมาหากิน มีรายได้น้อย สินค้าราคาแพง ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น และปัญหาของวิกฤติภาคประชาชนในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประชาชนคนยากคนจน แต่ชนชั้นกลางกำลังเดือดร้อนอย่างสาหัส  


เราเคยมีความหวังว่า จะสร้างประเทศด้วยการเพิ่มชนชั้นกลาง เช่นเดียวกับนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษา ก็รู้สึกว่าขาดความหวัง และไม่มีโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมถึงเกษตรกรที่วันนี้ก็ได้รับความเดือดร้อนเรื่องผลผลิต และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โอกาสในการเข้าถึงการตลาดขาดการพัฒนา ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา นอกจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากวิกฤติโควิด-19 แถมยังมาเจอวิกฤติของสงครามเข้ามาอีกด้วย

                                                กรณ์ จาติกวณิช
ทั้งนี้ มาตรการชุดความคิดนโยบายที่อิงกับความคิดในอดีตไม่สามารถที่จะใช้การได้อีกแล้ว ในอดีตเรานึกถึงปัจจัยการผลิตหลักอยู่ 4 ข้อ แต่วันนี้แค่ 4 ปัจจัยไม่เพียงพอ ต้องเปลี่ยนความคิด เราต้องเติมและอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ คือนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตกรรม หรือผู้ประกอบการ โดยต้องสร้างด้วยการศึกษาที่ดีขึ้น ต้องมีบุคลากรที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ มีการฝึกในเรื่องของระบบความคิดเชิงนวัตกรรม


 แต่ทุกอย่างจะไม่สามารถเป็นไปได้ หากประเทศไทยยังคงไว้ซึ่งระบบราชการแบบเดิม และนี่เป็นสิ่งที่พรรคกล้าต้องการนำเสนอ เพราะหากสามารถทำได้ก็จะสามารถนำพาประชาชน และประเทศชาติให้หลุดพ้นจากความยากจนและสร้างโอกาสได้  ดังนั้นจึงต้องนำระบบราชการทั้งหมดเข้าสู่ระบบดิจิตอล ทำให้ระบบราชการอยู่ในโทรศัทพ์มือถือ สิ่งที่จะตามมาคือ ประสิทธิภาพและต้นทุนที่ลดลง 


 “หากเราสามารถทำได้ก็จะเป็นโอกาสของประเทศชาติ แต่การจะทำได้นั้นต้องพึ่งปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุด คือ ทัศนคติ Mindset และความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคตินี้ได้ มีความมุ่งมั่น มีความชัดเจน ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบราชการเพื่อปลดล็อกระบบเศรษฐกิจให้กับภาคเอกชนและประชาชน ประเทศไทยเราจะก้าวหน้าได้


ดันปฏิรูปภาครัฐ


ขณะที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล  กล่าวว่า วิกฤติและภาวะที่ท้าทาย ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีศักยภาพมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง มีขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ตรงเป้า 


พร้อมยกตัวอย่างงบประมาณที่ขณะนี้ 40% เป็นรายจ่ายประจำปีจะต้องนำไปจ่ายให้กับเงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการ  และนำไปสนับสนุนรัฐราชการ  ยิ่งมีโควิด มีสงคราม ยิ่งเพิ่มภาระหนี้ และไม่มีงบประมาณที่จะนำมาแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง 

                                           ศิริกัญญา ตันสกุล
เชื่อว่าหากไม่มีการปฏิรูประบบราชการ หรือโครงสร้างภาครัฐทั้งระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ  รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ให้กระจุกตัว ปล่อยให้นายทุนผูกขาดเป็นเสือนอนกินที่ได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้  เราต้องดำเนินนโยบายเศรษกิจที่เคยกระจุก เปลี่ยนเศรษฐกิจให้กระจาย  จากเศรษฐกิจทุนนิยมแบบพวกพ้อง ทลายทุนแบบผูกขาดกับอำนาจรัฐ  เศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถกระจายตัวไปให้ทุกๆ คนได้  


“การกระจายอำนาจ คืนงบประมาณ คืนโอกาสในการทำมาหากินให้กับประชาชนผ่านการปลดล็อคท้องถิ่น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการระเบิดพลังทางเศรษฐกิจ ครั้่งสำคัญของไทย เพื่อทำให้ประชาชนที่อยู่ตามรากหญ้าลืมตาอ้าปากได้”  รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ