กรมป่าไม้ จัดหนักแจ้งความ ธนาธร-แม่-พี่สาว รุกป่าสงวนฯ กว่า 2 พันไร่

04 ก.พ. 2564 | 11:59 น.

กรมป่าไม้ แจ้งความดำเนินคดี ธนาธร-แม่-พี่สาว รุกป่าสงวนฯ กว่า 2 พันไร่ จังหวัดราชบุรี

นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) เปิดเผยว่า วันนี้ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ดำเนินคดีเพิ่มเติมกับ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ, น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ ในข้อหาใช้เอกสารที่ออกโดยมิชอบมาครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี เนื้อที่รวม 2,154-3-82 ไร่


 "จากการสืบสวนพยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่าเอกสาร นส.3 ก ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้ง 3 ท่านรู้อยู่แล้วว่าที่ดินออกโดยไม่ชอบแต่ยังยืนยันที่จะจดกรรมสิทธิ์แล้วนำมาใช้ประโยชน์" นายอดิศร กล่าว

 

 โดยเป็นการขยายผลสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องจากข้อมูลเดิมที่ได้ดำเนินการไว้จากกรณีที่ดินของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ศปก.พป.ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา


หลังพบหลักฐานเอกสารสิทธิ์ที่ดินประเภท นส.3 ก ที่เป็นเอกสารออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ, น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ฉบับ รวมเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ แล้วนำมายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งจะแยกดำเนินการทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา นอกจากนี้จะยังมีการตรวจสอบที่ดินเอกสาร นส.3 ที่มีความเชื่อมโยงเพิ่มเติมอีกด้วย
 

นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่า และควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากการสืบค้นพบพื้นที่ที่มีการครอบครองทำประโยชน์อยู่ในท้องที่ ต.รางบัว ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ต่อเนื่องขนาดใหญ่ มีการใช้ประโยชน์โดยปลูกต้นยูคาลิปตัสในเชิงธุรกิจต่อเนื่องทั้งพื้นที่ มีการตัดฟันมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 รอบ 


โดยใช้เอกสารสิทธิ์ประเภท นส.3 ก ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจำนวน 60 ฉบับ โดยเป็นของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,940-3-93 ไร่ เป็นของ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 5 ฉบับ เนื้อที่ 132-0-22 ไร่ และเป็นของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 2 ฉบับ เนื้อที่ 81-3-67 ไร่ รวมเนื้อที่ 2,154-3-82 ไร่ 


ซึ่งเจ้าหน้าที่พบว่าเอกสารทั้ง 60 ฉบับออกโดยไม่มีหลักฐานเดิม (ส.ค.1) เป็นการเดินสำรวจออกเมื่อปี 2521 ก่อนประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2527 แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรหมายเลข 85 เมื่อปี 2512 หรือก่อนที่จะมีการออกเอกสาร นส.3 ก ทั้ง 60 ฉบับ จึงเป็นเอกสารสิทธิที่ดินที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

การที่บุคคลทั้ง 3 รายนำเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมายึดถือครอบครองทำประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสีย เสียหายต่อพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ภาครัฐทั้งเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองรวม 5 รายได้ร่วมกันออกเอกสารสิทธิที่ดิน นส.3 ก ทั้ง 60 แปลงเนื้อที่ 2,154-3-82 ไร่ ซึ่งอยู่ในป่าถาวรหมายเลข 85 


โดยคณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่เชื่อได้ว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507, พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484, ประมวลกฎหมายที่ดินตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งจะดำเนินคดีกับนางสมพร, น.ส.ชนาพรรณ, นายธนาธร และดำเนินคดีตามมาตรา 157 กับเจ้าหน้าที่อีก 5 คน รวมทั้งฟ้องแพ่งจำนวน 147 ล้านบาทเศษ

ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบบันทึกการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ดินกับผู้ซื้อขาย โดยมีการบันทึกถ้อยคำรับทราบอยู่แล้วที่ดินดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และอาจมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิในวันข้างหน้า แต่ยังยืนยันจะซื้อขายต่อจึงเป็นการเจตนายืนยันครอบครองที่ดินโดยมิชอบ และเป็นหลักฐานสำคัญในการแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ โดยได้รับเอกสารดังกล่าวมาเมื่อเดือน มิ.ย.63


"ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หากเป็นวิญญูชนอย่างเรา เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มันก็ต้องตรวจสอบให้ได้ข้อยุติ" นายชีวะภาพ กล่าว