ศาลไฟเขียวยืดอุทธรณ์คดี“โอ๊ค”ฟอกเงินกรุงไทยอีก 1 เดือน  

25 พ.ค. 2563 | 13:02 น.

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ไฟเขียวขยายอุทธรณ์ คดี “โอ๊ค-พานทองแท้” ฟอกเงินปล่อยกู้กรุงไทย เป็นครั้งที่ 6 ไปถึง 25 มิ.ย.นี้ เหตุรออัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้องคดีหรือไม่

วันนี้(25 พ.ค.63) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้มีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 6 ในคดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 หมายเลขเเดงที่ อท.225/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่น ฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน  ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5,9, 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5)พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91

 

คดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2562 ซึ่งต่อมาทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้ทำความเห็นส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีศาลสูงว่าเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีต่อ ซึ่งอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเห็นด้วย ตามกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

ต่อมา กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่องดังกล่าว เพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาล ทั้งที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว เห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีความเห็นควรให้นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงโดยส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา และครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 5 ในวันนี้

ทั้งนี้ คำร้องขอขยายระบุเหตุผลว่า เนื่องจากคดีนี้อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูงได้พิจารณาสั่งสำนวนแล้วและโจทก์ได้เสนอสำนวนต่อไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเพื่อพิจารณาต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นแย้ง จึงส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 เพื่อมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์ต่อไป และสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด โจทก์จึงไม่สามารถดำเนินการในชั้นอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 25 มิ.ย.นี้

มีรายงานว่า คดีนี้ในศาลชั้นต้น องค์คณะผู้พิพากษา 2  คน มีความเห็นต่างกันในการตัดสิน โดยหนึ่งในองค์คณะมีความเห็นแย้งว่า พฤติการณ์ที่มีเช็คเงินลงชื่อ นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร โอนเข้าบัญชี นายพานทองแท้ เป็นความผิด เห็นควรให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย โดยหากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบด้วย