ทีมสอบวินัยร้ายแรงเรียก“บิ๊กโจ๊ก-พวก”รับทราบข้อหาภายใน 7 พ.ค.นี้

29 เม.ย. 2567 | 08:24 น.

ทีมสอบวินัยร้ายแจ้ง “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมพวกรวม 5 คน ส่งหนังสือแจ้งให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 7 พ.ค.นี้ ย้ำยังไม่ออกราชการ และยังเป็นผู้บริสุทธิ์

วันนี้ (29 เม.ย. 67)  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) เรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนวินัย บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. พร้อมพวกรวม 5 คน ที่ทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อน

พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก หลังจากที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผบ.ตร.เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งหนึ่งใน 14 คนนี้ มีบุคคลที่ถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวหาว่า เป็นคู่ขัดแย้งกับตนเอง ในการสอบสวน เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมีแนวคิดว่าจะยื่นหนังสือมายัง พล.ต.อ.สราวุฒิ เพื่อคัดค้านคณะกรรมการฯ

พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวต่อว่า ภายหลังการประชุมวันนี้ ได้เชิญคณะกรรมการทุกคนมา เพื่อประชุมแนวทางการสอบสวน โดย 2 จาก 14 คน ไม่สามารถมาประชุมได้ เนื่องจากติดราชการ 

สำหรับกรอบระยะเวลาของกฎระเบียบที่ ก.ตร. กำหนดไว้ มีกรอบระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ คือวันที่ 22 เมษายน ดังนั้น ทั้ง 5 ท่านจะต้องเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 7 พ.ค.นี้ ซึ่งก่อนวันที่ 7 จะต้องมีการส่งหนังสือแจ้งทางไปรษณีย์ให้กับทาง 5 ท่านทราบ 

แต่หากบุคคลที่ถูกเรียกติดธุระไม่สามารถเดินมาได้ ก็ส่งหนังสือมาเพื่อขอเลื่อนได้ โดยหลังจากนั้น คณะกรรมการฯ จะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนพยาน ซึ่งมีกรอบระยะเวลา ทั้งหมดต้องไม่เกิน 270 วัน

พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวด้วยว่า ได้วางกรอบการทำงานของคณะทำงาน จะต้องยึดหลักในเรื่องของระเบียบและข้อกฎหมายเท่านั้น และจะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 รายอย่าง 100%  

ส่วนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะยื่นคัดค้าน 1 ในคณะกรรมการ ที่เป็นคู่ขัดแย้งนั้น สามารถทำได้ แต่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ รักษาการผบ.ตร. จะเป็นผู้พิจารณาว่าบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การทำงานของคณะนี้อาจจะแล้วเสร็จไม่ทันตนเกษียณอายุราชการ แต่ก็สามารถส่งต่อข้อมูลให้กับผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบแทนได้ ยืนยันว่าไม่ใช่การโยนเผือกร้อน  

ส่วนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มอบหมายให้ตนเป็นประธานสอบวินัย ก็รู้สึกตกใจว่า ทำไมมอบให้ตนเองเป็นหัวหน้า เพราะใกล้จะเกษียณแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะตนเองเป็นกลาง ก็น่าจะเพราะมีความจำเป็นจริงๆแต่ไม่ได้มีการพูดคุย หรือ สั่งการอะไรเป็นพิเศษ 

และขอประกาศว่า ไม่มีใครมาชี้นำตนได้ รวมถึงยังไม่มีการพูดคุยกับทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นการส่วนตัว แต่ตนพร้อมหากจะมีใครมาพูดคุย เพราะถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมกับทุกคน และถึงแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน และเคยทำงานร่วมกัน ก็จะไม่มีการช่วยเหลือและพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.อันดับ 1 อยู่หรือไม่ ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากการตรวจสอบทางวินัย และ อาญา ยังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงขณะนี้ยังไม่ถือว่า ออกจากราชการแล้ว 100% เนื่องขั้นตอนยังไม่ครบถ้วน จึงถือว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่