สปสช. หนุนเปิด“ระบบบัตรทอง” ในพื้นที่อีอีซี

02 ม.ค. 2566 | 11:55 น.

สปสช. จับมือ สกพอ. “ส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการแพทย์ในพื้นที่อีอีซี หนุนประชาชนเข้าถึงสิทธิ์รักษาด้วยนวัตกรรมขั้นสูงพร้อมยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การส่งเสริมการลงทุนและการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง เพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคะวันออก โดยการสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”

สปสช. หนุนเปิด“ระบบบัตรทอง” ในพื้นที่อีอีซี

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สปสช. มีบทบาทและหน้าที่ในการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” เพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทย 48 ล้านคน ด้วยเป็นระบบหลักประกันสุขภาพขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ นอกจากงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลแล้ว ยังต้องสร้างความมั่นใจที่เอื้อต่อการดำเนินการของระบบ ไม่ว่าจะเป็นยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญของการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุข ทั้งต้องเพียงพอต่อการให้บริการดูแลประชาชน

การลงทุนเพื่อให้เกิดการผลิตและการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากทำให้เกิดการเข้าถึงบริการที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นส่วนที่ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศ พร้อมช่วยสร้างรายได้ เพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ได้ตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงนำมาสู่การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้

 

“ผลจากการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ สปสช. มั่นใจว่าจะนำมาสู่ผลที่ดี ทั้งต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้ผู้มีสิทธิได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาทดแทนเทคโนโลยีเดิม ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม ควบคุมได้ และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ภายใต้มาตรฐานบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ผลดีต่ออุตสาหกรรมด้านทางการแพทย์ในประเทศ ทั้งในด้านการพัฒนาและขยายศักยภาพการคิดค้น วิจัยและผลิต โดยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ และผลดีต่อประเทศไทยเอง ในด้านความมั่นคงทางระบบสุขภาพของประเทศ”