ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นความหนักหนาสาหัส สำหรับตลาดปิกอัพเมืองไทย ทุกค่ายยอดร่วงกันกราวรูด ไม่เว้น “อีซูซุ” ที่ยอดขายลดลงไปกว่า 40%
เรียกว่า ช่วงตลาดรวมที่เคยแย่ๆ หรือมีวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านสถานการณ์โรคระบาด เราไม่เคยเห็นอีซูซุ ยอดขายลดฮวบขนาดนี้ แต่นั่นละครับการทำธุรกิจในไทย ที่แยกเป็นส่วนโรงงานผลิตของอีซูซุ มอเตอร์ กับบริษัทขายคือ ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ (โดยมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชัน) บวกกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่แข็งแกร่ง พร้อมฐานลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์สูง
คุณค่าต่างๆ เหล่านี้ สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อวิกฤตต่างๆ รวมถึงรักษาความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจของอีซูซุ ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน อีซูซุ ยุคใหม่ ยังมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสเปกโปรดักต์ระหว่างอายุโมเดลมากขึ้น โดยไม่ต้องรอถึงเวอร์ชัน All new เช่น การใช้ระบบพวงมาลัยผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากับ มิว-เอ็กซ์ หรือการใส่เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.2 Ddi MAXFORCE มาในไลน์อัพรถมากกว่า 40 รุ่นย่อย (ไม่รวมรถบรรทุก)
อีซูซุ เปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 Ddi MAXFORCE กับดีแมคซ์ กลุ่มขับเคลื่อนสองล้อ และพีพีวี มิว-เอ็กซ์ ช่วงปลายปีที่แล้วล่าสุด เพื่อพิสูจน์สมรรถนะจากการใช้งานจริง ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จัดทริปทดสอบรถเครื่องยนต์ใหม่ ในเส้นทางท้าทายที่ประเทศเวียดนาม
งานนี้ทีมงานเตรียมดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ และ มิว-เอ็กซ์ ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.2 Ddi MAXFORCE จำนวน 10 คัน มาให้ผู้สื่อข่าวได้ลองขับกันยาวๆ
จริงๆ รถทั้งหมดนี้ ทีมงานอีซูซุ ขับมาจาก จ.นครพนม ก่อนจะข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วเข้าเมืองวิน ประเทศเวียดนาม เคลื่อนพลขึ้นมาถึงกรุงฮานอย
จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องขับต่อจากเมืองหลวง ขึ้นมาที่เมืองฮาลอง ในวันแรก และวันที่สองค่อยกดต่ออีก 200 กม. มุ่งขึ้นเหนือ สุดขอบชายแดนเวียดนาม ที่เมืองลังเซิน
พาหนะของผมคือ อีซูซุ ดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ ตัวถังดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อนสองล้อ ยกสูง ถือว่าเหมาะสมกับเส้นทาง ที่ส่วนใหญ่เป็นทางดำก็จริง แต่ออกแนวรันทด สมบุกสมบัน มีเปิดงานทำถนนตลอด (แต่มีบางช่วงเป็นทางด่วน สามารถทำความเร็วได้)
สำหรับเครื่องยนต์ใหม่ ต่อยอดการพัฒนามาจากบล็อก 1.9 ลิตร จากรหัส RZ4E (คาดว่าจะค่อยๆ ถูกถอดออกจากตลาดไป) เป็น RZ4F ขนาด 2.2 ลิตร DOHC ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 13 แรงม้า) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร (เพิ่มขึ้น 50 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600 - 2,400 รอบต่อนาที
งานนี้วิศวกรอีซูซุ มอเตอร์ ลงมือจริงจังเพื่อเพิ่มความจุของห้องเผาไหม้ และไม่ใช่ปรับแค่ช่วงชัก หรือเพลาข้อเหวี่ยง แต่เขาเปลี่ยน ก้านสูบ ลูกสูบ ไปจนถึงฝาสูบ พร้อมหัวฉีดใหม่ เพิ่มแรงดันจาก 180 MPa เป็น 250 MPa สอดคล้องกับระบบอัดอากาศเทอร์โบแปรผันควบคุมเวสเกตด้วยไฟฟ้า ซึ่งผลที่ได้คือประสิทธิผลดีขึ้น แต่ปล่อยไอเสีย และกินน้ำมันน้อยลง
เครื่องยนต์เดินเรียบ แรงบิดช่วงออกตัวดีขึ้นจริง แถมได้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ Aisin มาบริหารจัดการกำลังลงสู่ล้อหลัง พละกำลังมาตามแรงกดของฝ่าเท้าแบบเนียนๆ
อารมณ์ไม่ถึงกับดุดัน พลังพุ่งพล่าน แต่โดยรวมการตอบสนองดีกว่าบล็อก 1.9 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่วนช่วงความเร็วสูง มีแรงปลายไหลได้ยาวๆ ที่เกียร์สูงสุด ความเร็ว 100-120 กม./ชม.รอบยังไม่ถึง 2,000
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย หลังจากลองขับระยะทาง 200 กม.จากฮาลอง เบย์ ขึ้นไปชายแดนจีน ยังเห็นตัวเลข 15 กม./ลิตรครับ
ส่วนช่วงล่างแหนบเหนือเพลา ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร คงค่าทุกอย่างไว้ตามเดิม แต่บังเอิญว่าทริปนี้ รถผมมีโหลดสัมภาระด้านท้ายอีกกว่า 100 กิโลกรัม จึงช่วยให้สมดุลการขับขี่ดีขึ้นเล็กน้อย หรือช่วยให้รถไม่กระโดดกระดอนมากมาย ขับได้สบายตัวขึ้น
รวบรัดตัดความ…เครื่องยนต์ใหม่ 2.2 Ddi MAXFORCE จะเป็นอาวุธหลักของอีซูซุในปีนี้ ประเดิมกับรถที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ สร้างยอดขายเป็นหลัก ตั้งแต่ สปาร์คหัวเดียว และตัวสเปซแค็บ ไปจนถึงไฮแลนเดอร์ ตอนครึ่งและ ดับเบิลแค็บ 4 ประตู ซึ่งสมรรถนะโดยรวมของระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาใหม่นี้ ถือว่าสมเหตุสมผลต่อการใช้งานมากๆ
เรื่อง : กรกิต กสิคุณ