สหรัฐฯอนุมัติใช้วัคซีนโควิดรุ่นใหม่ชนิด Bivalent ครอบคลุม BA.4/BA.5

01 ก.ย. 2565 | 02:01 น.

สหรัฐฯอนุมัติใช้วัคซีนโควิดรุ่นใหม่ชนิด Bivalent ครอบคลุม BA.4/BA.5 ของ Pfizer-Biontech และ Moderna เพื่อฉีดเป็นเข็มกระตุ้น

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความ

 

วัคซีนรุ่นใหม่สำหรับโรคโควิด-19

 

ล่าสุดทาง US FDA ได้อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนรุ่นใหม่ชนิด Bivalent ของ Pfizer-Biontech และ Moderna เพื่อฉีดเป็นเข็มกระตุ้นแล้ว

 

โดยวัคซีนชนิด Bivalent นั้นจะครอบคลุมสายพันธุ์ดั้งเดิม และ BA.4/BA.5
ทั้งนี้ Pfizer-Biontech ใช้สำหรับคนอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป

 

ในขณะที่ Moderna ใช้สำหรับคนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

 

การฉีดเข็มกระตุ้นด้วย Bivalent vaccine นั้น สามารถให้ได้ตั้งแต่ 2 เดือน

 

หลังจากฉีดวัคซีนเข็มสุดท้าย (ไม่ว่าจะเป็นคนที่ได้เข็มสุดท้ายเป็นเข็มสอง หรือเป็นเข็มกระตุ้นก็ตาม)

สำหรับไทยเรา คงต้องติดตามต่อไป

 

การระบาดยังคงรุนแรง ติดเชื้อไม่จบแค่ชิลๆ แล้วหาย แต่ป่วยรุนแรงได้ ตายได้ และที่ควรตระหนักคือ ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาระยะยาวอย่าง Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะการใช้ชีวิตและการทำงาน ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ และเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และประเทศ

 

การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด

 

สหรัฐฯอนุมัติใช้วัคซีนโควิดรุ่นใหม่ชนิด Bivalent ครอบคลุม BA.4/BA.5

 

ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอนะ จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก
อัพเดตจากองค์การอนามัยโลก

 

รายงานล่าสุดจาก WHO Weekly Epidemiological Update เมื่อคืนนี้ 31 สิงหาคม 2565

 

ในรอบเดือนที่ผ่านมา Omicron ครองการระบาดทั่วโลกถึง 99.6% ทั้งนี้พบว่า Omicron สายพันธุ์ย่อย BA.5 นั้นมีสัดส่วนสูงขึ้นจากเดิม 72.4% เป็น 78.2%

ในขณะที่ BA.2 นั้นมีสัดส่วนเพียง 2.7% ส่วนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 (ที่พบครั้งแรกในอินเดีย) นั้นยังมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชัดเจนในหลายประเทศ จำเป็นต้องเฝ้าระวัง ติดตามอย่างใกล้ชิด

 

อย่างไรก็ตาม ในวีดิโอสัมภาษณ์ Dr.Kerkhove MV, WHO ที่เผยแพร่ผ่านทางทวิตเตอร์เมื่อคืนนี้ ได้เตือนว่าปัจจุบันหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงระบบรายงานเคส และระบบการตรวจ

 

ทำให้เชื่อว่าตัวเลขติดเชื้อที่รายงานมานั้นต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริง โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดประมาณว่าดูจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้า ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท