สปสช. ยันไม่เบี้ยวหนี้ พร้อมโอนกว่า 36 ล้านให้ รพ.มงกุฎวัฒนะวันนี้

09 ต.ค. 2568 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2568 | 10:04 น.

สปสช. ย้ำไม่ได้เบี้ยวหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ยืนยันดำเนินภายใต้กฎหมาย ประกาศ และมติบอร์ดสปสช. จ่ายเงินให้ รพ.ตามรอบการจ่าย คงเหลือที่ต้องจ่ายกว่า 36 ล้านบาทซึ่งเป็นรอบการจ่ายตามการให้บริการอยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูลและจะจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะภายในวันนี้

KEY

POINTS

  • สปสช. ยืนยันว่าไม่ได้เบี้ยวหนี้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ แต่การดำเนินการจ่ายเงินเป็นไปตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย
  • แจกแจงยอดเงินคงค้างที่ต้องจ่าย 67.75 ล้านบาท แต่เมื่อหักลบกับเงินที่โรงพยาบาลต้องคืน 31 ล้านบาท ทำให้เหลือยอดสุทธิที่ สปสช. ต้องจ่าย 36.75 ล้านบาท
  • สปสช. จะดำเนินการโอนเงินจำนวน 36.75 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะภายในวันที่ 9 ตุลาคม 2568

9 ตุลาคม 2568 ที่ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดการแถลงข่าวกรณีที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ทวงหนี้การรักษาพยาบาลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีการติดค้างไว้กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่มีการแถลงข่าว ปรากฏว่า พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้เดินทางมาเข้าฟังการแถลงข่าวด้วย 

โดย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวถึงกรณีที่ รพ.มงกุฎวัฒนะระบุว่า สปสช. เบี้ยวหนี้ ไม่จ่ายค่าบริการ โดยขอยืนยันว่า สปสช.ไม่ได้มีการเบี้ยวหนี้ตามที่กล่าวและการดำเนินการของ สปสช.นั้น เป็นไปตามกฎหมายในการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ต้องยึดหลักเกณฑ์ประกาศการจ่ายและมติคณะกรรมการทุกขั้นตอน 

ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง และเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะ สปสช.จึงขอนำเสนอข้อมูลการเบิกจ่ายเงินของ รพ.มงกุฎวัฒนะอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ว่าในแต่ละปีงบประมาณ มีการจ่ายเงินและดำเนินการอย่างไรบ้าง

1. กรณีปีงบประมาณ 2563 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะระบุว่า มีจำนวน 13.2 ล้านบาทนั้น เป็นค้างชำระจากคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่ง รพ.มงกุฎวัฒนะเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อให้คลินิกดังกล่าว แต่คลินิกถูก สปสช. ยกเลิกสัญญา จากสาเหตุการเบิกจ่ายงบประมาณไม่ถูกต้อง เมื่อปี 2563

จึงทำให้คลินิกสิ้นสภาพการเป็นหน่วยบริการคู่สัญญากับ สปสช. และไม่ได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวที่ สปสช.จัดสรรอีก จึงทำให้ไม่มีเงินรายรับสำหรับการหักเพื่อจ่ายกรณีส่งต่อผู้ป่วยได้ ซึ่งมีโรงพยาบาลที่รับส่งต่อจำนวนหนึ่งประสบกับเหตุการณ์ในกรณีนี้เช่นเดียวกัน

สปสช. ยันไม่เบี้ยวหนี้ พร้อมโอนกว่า 36 ล้านให้ รพ.มงกุฎวัฒนะวันนี้

ในกรณีนี้ มติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ได้ยืนยันชัดเจนว่า สปสช.ไม่มีอำนาจและไม่สามารถนำเงินกองทุนไปจ่ายแทนคลินิกเอกชนที่พ้นสภาพแล้ว เนื่องจากผิดหลักเกณฑ์และไม่มีกฎหมายรองรับ

อย่างไรก็ตาม สปสช.ได้ดำเนินการ Clearing house เพื่อตามเงินจากคลินิกที่ยังสามารถชำระได้ และโอนให้โรงพยาบาลเป็นรอบ ๆ รวม 5 ครั้ง ทาง รพ.มงกุฎวัฒนะได้เงินกลับคืนมาแล้ว 4.29 ล้านบาท คงเหลือ 8.92 ล้านบาท

2. ปีงบประมาณ 2566 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 638.55 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) และได้รับเพิ่มอีกจำนวน 2.1 ล้านบาท เนื่องจากในปีงบประมาณ 2566 ในพื้นที่ กทม. หน่วยบริการมีการตรวจสอบกันเอง ผลการตรวจสอบพบทั้งการจ่ายเพิ่มและถูกเรียกเงินคืน ในส่วนของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้รับเงินเพิ่ม 

3. ปีงบประมาณ 2567 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 651.46 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) โดย สปสช. จ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขให้ รพ.มงกุฎวัฒนะตามรอบการจ่าย

สปสช. ยันไม่เบี้ยวหนี้ พร้อมโอนกว่า 36 ล้านให้ รพ.มงกุฎวัฒนะวันนี้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน สิงหาคม-กันยายน 2567 พบว่างบประมาณในรูปแบบงบประมาณปลายปิดอาจจะไม่เพียงพอ คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพเขต หรือ อปสข. เขต 13 กทม. จึงมีมติให้จ่ายในรูปแบบ Point System หรือการคำนวณตามคะแนนบริการ และให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 จึงต้องมีการคำนวณใหม่ และประกอบกับมีการตรวจสอบกันเองของหน่วยบริการ ผลการคำนวณและตรวจสอบกันเองพบว่า รพ.มงกุฎวัฒนะต้องถูกเรียกเงินคืน 16 ล้านบาท หลังหักยอดเงินพึงได้ของ รพ.มงกุฎวัฒนะจำนวน 22 ล้านบาท

4. ปีงบประมาณ 2568 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 618.754 ล้านบาท ณ วันที่ 14 กันยายน 2568 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่ยังค้างจ่ายในช่วงของการบริการวันที่ 16-30 กันยายน 2568 มีดังนี้ 

1. เงิน CR กลางของประเทศ หรือบริการกรณีเฉพาะ จำนวน 7.87 ล้านบาท 

2. เงิน OP REFER หรือการส่งต่อผู้ป่วยนอก จำนวน 3.1 ล้านบาท 

3. เงิน OP CAP หรือเงินเหมาจ่ายรายหัวผู้ป่วยนอก จำนวน 4.2 ล้านบาท

4. เงิน OP CR หรือเงินผู้ป่วยนอกที่เป็นบริการกรณีเฉพาะ 5 รายการในพื้นที่ กทม. จำนวน 2.95 ล้านบาท

5.เงินผู้ป่วยใน (IP) จำนวน 49.63 ล้านบาท รวม 67.75 ล้านบาท 

จากตัวเลขดังกล่าว เมื่อลบกับที่ต้องเรียกคืนในปี 2567 จำนวน 16 ล้านบาท และมีกรณีที่ สปสช. ได้จ่ายล่วงหน้าให้ รพ.มงกุฎวัฒนะไปแล้ว 70 ล้านบาท ซึ่งหักคืนได้แล้ว 55 ล้านบาท เท่ากับคงเหลือ 15 ล้านบาทที่ต้องเรียกคืน รวมเป็นเงิน 31 ล้านบาท

ดังนั้น จึงเป็นเงินที่ สปสช. ต้องจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวนเงิน 36.75 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประมวลผลข้อมูลและจะจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะภายในวันนี้ (9 ตุลาคม 2568)

สปสช. ยันไม่เบี้ยวหนี้ พร้อมโอนกว่า 36 ล้านให้ รพ.มงกุฎวัฒนะวันนี้

ส่วนกรณีที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป จะหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนกับ รพ.มงกุฎวัฒนะนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันมีประชาชนที่ลงทะเบียนเลือก รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นหน่วยบริการประจำ จำนวนประมาณ 47,000 คน จากข้อมูลพบว่า จำนวนนี้มีสัดส่วนประชาชนที่ป่วยคิดเป็น 19.32% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ กทม. อยู่ที่ 37.87% 

โดยเป็นการดูแลในรูปแบบโมเดล 2 คือ เป็นทั้งปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อ โดยโรงพยาบาลให้บริการผู้ป่วยตามกฎหมายสถานพยาบาลและกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

สำหรับประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ สปสช. ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือ โดยตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง และ สปสช. จะตั้งศูนย์ช่วยเหลือและรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ใกล้กับ รพ. เพื่อเตรียมช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย และได้ประสานมูลนิธิเส้นด้ายจัดรถรับส่งผู้ป่วยไปที่หน่วยบริการแห่งใหม่ ที่ได้เตรียมรองรับไว้แล้ว และได้จัดเตรียมหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อ ไว้รองรับให้ประชาชนไว้แล้ว

ทั้งนี้ประชาชนที่ได้รับความไม่สะดวก โทร.สอบถามเพื่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 โทร.ฟรี 24 ชั่วโมง