ส่องเทรนด์สุขภาพและความงามไทย 2026 ยุคทอง Longevity และ Anti-Aging

30 ธ.ค. 2568 | 01:00 น.

ส่องเทรนด์ “Health and Wellness Economy” ไทย จากปี 2568 มุ่งสู่ศักราชใหม่ 2569 เมื่อ ‘Health is Wealth’ คือหนึ่งในสมรภูมิสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ชี้เมกะเทรนด์ ‘Longevity และ Anti-Aging’ จะเติบโตแบบก้าวกระโดด

KEY

POINTS

  • ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองสู่ "Health is Wealth" ให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Healthspan) ทำให้เทรนด์ Longevity และ Anti-Aging กลายเป็นกระแสหลัก
  • ตลาดที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการชะลอวัยเติบโตสูง เช่น อาหารเสริม, ธุรกิจสำหรับผู้สูงวัย (Active Ageing) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  • เทคโนโลยี HealthTech และ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลมากขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์รุกตลาดต่างประเทศเพื่อหนีสงครามราคาในประเทศ

ย้อนนโยบายสำคัญของภาครัฐในปี 2568 เมื่อกระทรวงสาธารณสุขภายใต้การนำของ ‘นายสมศักดิ์ เทพสุทิน’ ประกาศยุทธศาสตร์ “ยกระดับสาธารณสุขไทย สุขภาพแข็งแรงทุกวัย เศรษฐกิจสุขภาพไทยมั่นคง” โดยชูธงนโยบาย “5+5 เร่งรัดพัฒนา สานต่อ” ซึ่งมีหัวใจสำคัญ คือ การพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ 1.ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว, เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ, บริการเจาะเลือดใกล้บ้าน, นัดออนไลน์, ส่งยา, ลดแออัด

2.แก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการทบทวนกฎหมาย, ดึงกัญชากลับเป็นยาเพื่อการแพทย์, ยกระดับการบำบัด 3.พัฒนาการแพทย์ปฐมภูมิ บูรณาการ รพ.สต., ออก พ.ร.บ. อสม., กองทุนสุขภาพตำบล 4.ยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพ ส่งเสริมอุตสาหกรรมสุขภาพ, E-Service, การแพทย์มูลค่าสูง 5.เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพเน้นกลุ่มเปราะบาง, บริการเชิงรุก

ถัดมาคือ 5 ด้านที่ต้องสานต่อ ได้แก่ 1.พัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเดิม 2.พัฒนางานสาธารณสุขตามนโยบายรัฐบาล 3.สร้างขวัญกำลังใจบุคลากร 4.พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศสุขภาพ 5.พัฒนาระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ซึ่งนโยบายเหล่านี้เสมือนเป็นเรือธงผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Hub ด้าน Health & Medical & Wellness อย่างเต็มตัว

ส่องเทรนด์สุขภาพและความงามไทย 2026  ยุคทอง Longevity และ Anti-Aging

โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจสุขภาพสูงถึง 6.9 แสนล้านบาท พร้อมนโยบายเชิงรุก อาทิ การส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การยกระดับสมุนไพรไทยสู่บัญชียาหลัก และการเปิด Sandbox สำหรับนวัตกรรมการแพทย์ขั้นสูง (ATMPs) ขณะเดียวกัน บอร์ด สปสช. สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการอนุมัติงบบัตรทองปี 2569 พุ่งสูงถึง 2.72 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสิทธิประโยชน์ใหม่และยกระดับการดูแลกลุ่มผู้ป่วยโรค NCDs

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชน เริ่มเห็นภาวะการแข่งขันสูงมาก จนธุรกิจด้านสุขภาพและความงามกลายเป็น Red Ocean ในช่วงปลายปี 2568 ผู้ประกอบการต่างงัดกลยุทธ์เตรียมพร้อมรับศึกปี 2569 เต็มอัตรา

เช่น กลุ่มศัลยกรรมความงามอย่าง MASTER ที่ประกาศยุทธศาสตร์เป็น “Regional Company” เพื่อหนีสงครามราคาในไทยที่รุนแรงจนต้นทุนหัตถการบางประเภทพุ่งเกิน 80% และวางแผนขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างชาติเป็น 40%

กลุ่ม BDMS ก็มุ่งเน้นการขับเคลื่อน Wellness Economy 5.0 โดยชูจุดแข็งเรื่อง “Thai Hospitality” และนวัตกรรม “Wellness Life Blueprint” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มกำลังซื้อสูง ชี้ชัดศักยภาพอุตสาหกรรม Wellness ไทยมีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงชะลอตัว จากแรงหนุนสังคมสูงวัยและโรค NCDs พร้อมจุดประกายเทรนด์ Healthspan–Longevity–Mental Wellness ควบคู่จุดแข็งด้านธรรมชาติ อาหารไทย การแพทย์นำไปสู่การเป็น Wellness Hub ระดับโลก

ด้านยักษ์ใหญ่อย่าง “วัตสัน” เผยข้อมูลว่าผู้บริโภคไทยเปลี่ยนมุมมองจาก “สุขภาพคือความงาม” สู่ “Health is Wealth” เมื่อสุขภาพคือความมั่งคั่งของชีวิต ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพื่อการป้องกัน (Preventive) มากกว่าการรักษา ทำให้เมกะเทรนด์ปี 2568-2569 เรื่อง Longevity หรือแนวคิดและศาสตร์แห่งการมี “อายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ” ครองเมือง กลายเป็นเทรนด์สุขภาพพื้นฐานที่กำลังแรง

แน่นอนว่าผู้บริโภคไม่ได้มองแค่ “อายุยืน” ตามบัตรประชาชน (Lifespan) แต่ต้องการ “อายุยืนอย่างมีคุณภาพ” (Healthspan) ส่งผลให้ตลาดอาหารเสริมกลุ่มชะลอวัย (Anti-Aging) คาดว่าจะเติบโตแตะ 2.39 แสนล้านบาทในปี 2569

นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์ธุรกิจที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัย (Active Ageing) เช่น บริการดูแลเฉพาะทาง (Go MAMMA), ท่องเที่ยวสูงวัย และนวัตกรรมชะลอวัย กลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่, เทรนด์ Wellness Tourism & MICE ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทยที่คาดว่าในปี 2568 จะมีรายได้ทะลุ 6.7 แสนล้านบาท และความเชื่อมั่นจะพุ่งสู่จุดสูงสุดในปี 2569 เมื่อจังหวัดภูเก็ตได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ Global Wellness Summit 2026 สร้าง ROI มากกว่า 15 เท่า และยกระดับไทยสู่ “Global Wellness Capital”

ยังมีเทรนด์ HealthTech & AI ที่จะมีบทบาทตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์วินิจฉัย (Generative AI) ไปจนถึงการช่วยผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าสุขภาพ การดูแลสุขภาพที่บ้าน (Home Care) ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องปกติในปี 2569

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแบบองค์รวม (Holistic Health) และการรุกตลาดต่างประเทศเพื่อหนีสงครามราคา คือกุญแจสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องยึดถือเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนในสมรภูมิปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง โดยเทรนด์สุขภาพและความงามจะตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น และก้าวเข้าสู่ยุค “Advanced Wellness” ตามเมกะเทรนด์ Longevity และ Anti-Aging ที่คาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด