KEY
POINTS
นพ.สุเมธ บุญญเจตน์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมตกแต่ง KPS (Kasemrad Plastic Surgery) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า คนไทยยังมีกำลังซื้อพร้อมจับจ่ายใช้สอยในเรื่องความงาม หลายคนเข้าถึงบริการง่ายขึ้นด้วยราคาที่จับต้องได้ และเป็น “ปัจจัยที่ 5” ในชีวิตที่ขาดไม่ได้ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันจึงมีแนวโน้มค่อยๆ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ตลาดศัลยกรรมความงามของประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมราว 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2569 มูลค่ารวมจะพุ่งขึ้นมากกว่า 7 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน แต่หากพิจารณาถึงสถานการณ์ช่วงสั้นๆ ของปี 2568 สำหรับไตรมาส 3-4 อาจมีอัตราการเติบโตต่ำเพียง 1-3% จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงผลกระทบจากสงครามไทย-กัมพูชา ซึ่งในช่วง 2 เดือนโค้งสุดท้ายก่อนถึงปีใหม่อาจเติบโตขึ้นได้อีก เพราะถือเป็นช่วงไฮซีซันที่มีผู้เข้ารับบริการสูงสุด
“สองเดือนสุดท้ายของทุกปีจะมีผู้เข้ารับบริการความงามเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูงจากเงินรายได้ที่เก็บสะสม เงินโบนัส อีกทั้งมีวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ สามารถหยุดพักหลังทำหัตถการได้ คาดว่าไตรมาส 4 อัตราการเติบโตของตลาดน่าจะเพิ่มขึ้นราว 3-5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”
โดยประเภทศัลยกรรมและหัตถการความงามยอดนิยมจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
1. กลุ่มความงามเห็นได้ชัดเจน เช่น เสริมหน้าอก, ทำตา, ทำจมูก หัตถการเหล่านี้มีอัตราการเติบโตแบบคงที่
2. กลุ่มศัลยกรรมชะลอวัย (Anti-aging) ที่เพิ่งได้รับความนิยมโดดเด่นในช่วงปี 2568 เช่น ศัลยกรรมชะลอวัยอย่างการดึงหน้า, การแก้ไขหรือการยกกระชับหน้าอก, ศัลยกรรมปรับรูปร่าง การคุมน้ำหนัก, การตัดกระเพาะ, การตัดหนังหน้าท้อง
ส่วน 5 อันดับศัลยกรรมเด่นที่วัดจากปริมาณเคสในภาพรวมของตลาด ได้แก่
ลูกค้ากลุ่มใหญ่สุดในตลาดความงามคือ Gen Y เป็นวัยกลาง กลุ่มนี้มีกำลังทรัพย์ มีความมั่นคงในชีวิต และต้องการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยเทรนด์ศัลยกรรมและหัตถการความงามที่ต้องการจะเปลี่ยนไปจากอดีต จากเคยทำและมองออกแล้วรู้ว่าทำ ปัจจุบันปรับเปลี่ยนทิศทางต้องการผลลัพธ์แบบธรรมชาติมากขึ้น เช่น การเสริมซิลิโคนจะนิยมใช้ขนาดเล็กลงให้เข้ากับสรีระร่างกาย
นพ.สุเมธ กล่าวว่า ตลาดศัลยกรรมประเทศไทยแข่งขันกันดุเดือดมาก ปี 2568 ภาพการแข่งขันรุนแรงกว่าปี 2567 แม้จำนวนลูกค้าจะเพิ่มขึ้นแต่กลับทำตลาดยากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลต่างมีราคาให้เลือกถูกลง แต่กลุ่มใหญ่ยังอยู่ระดับกลางที่ใส่ใจพิจารณาความปลอดภัยและคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ สามารถจ่ายในราคาประมาณ 8 หมื่น – 2 แสนบาท
นอกจากนี้ ยังมีคลินิกที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลความงามอีกหลายแห่งเพื่อความอยู่รอด ทั้งต้องปรับตัวหรือพัฒนาการบริการ ตามให้ทันกระแสโซเชียลมีเดีย/ออนไลน์ รวมถึงทีมแพทย์ก็ต้องตามเทรนด์ ปรับการผ่าตัดให้ทันสมัยมากขึ้น แบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ คือ 1. กลุ่มราคาถูก (คลินิกทั่วไป) ราคาจับต้องได้ แต่คุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยอาจไม่สูงมากนัก มักเป็นการผ่าตัดแบบฉีดยาชาธรรมดา ไม่ได้ดมยาสลบและไม่มีวิสัญญีแพทย์
2. กลุ่มมาตรฐานกลาง (คลินิกมาตรฐาน/โรงพยาบาลราคาไม่สูง) มีมาตรฐานมากขึ้น อาจเป็นคลินิกมาตรฐานแบบมีห้องผ่าตัด ดมยาสลบ หรือโรงพยาบาลที่เน้นความปลอดภัยและคุณภาพ 3. กลุ่มพรีเมียม/High End (คุณภาพสูงสุด) ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ติดปัญหาค่าใช้จ่าย และต้องการความปลอดภัยและคุณภาพดีที่สุด
“ประเทศไทยมีมาตรฐานทางการแพทย์สูงในอุตสาหกรรมความงาม หากมมองในมุมของ KPS (Kasemrad Plastic Surgery) ตลาดศัลยกรรมไทยมีคนไทยเป็นกลุ่มลูกค้าหลักกว่า 80% ต่างชาติ 20% จะแบ่งตามลำดับคือ 1 จีน 2. นิวซีแลนด์/ออสเตรเลีย 3. อาหรับ 4. โซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนวโน้มลูกค้าต่างชาติเริ่มปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยราคาของไทยต่ำกว่าเกาหลีหรือสิงคโปร์ถึง 3 เท่า แต่ตลาดใหญ่ศัลยกรรมความงามใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเดียวกันก็ยังคงเกาหลีใต้”
ขณะเดียวกัน ตลาดศัลยกรรมจีนก็กำลังมาแรง ในปี 2567- ปัจจุบัน ประเทศจีนเริ่มเปิดสถานบริการและโรงพยาบาลความงาม Import แพทย์จากเกาหลีใต้หรือไทยไปช่วยผ่าตัดที่จีนเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลหลักจากสื่อผ่าน Social Media, ดารา, และ Influencer ที่แสดงผลลัพธ์หลังทำหัตถการ ก็ทำให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก อาจทำให้ลูกค้าชาวจีนที่เข้ามาในไทยลดน้อยลงในอนาคต
นพ.สุเมธ กล่าวว่า KPS ก็เป็นหนึ่งในศูนย์ศัลยกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 200% เมื่อเทียบจากไตรมาส 4/2568 กับไตรมาส 4/2567 โดยขยายขอบข่ายบริการตามมาตรฐานระดับโรงพยาบาล ทำงานร่วมมือกับโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ (BCH) ตอนนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 มี 4 สาขา ครอบคลุมหัวเมืองหลักรอบกรุงเทพฯ ในเขตพื้นที่รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ, รามคำแหง, และบางแค
สัดส่วนลูกค้า 50% เป็น Gen Y ถัดมาประมาณ 30% เป็น Gen X ที่สนใจเรื่องการย้อนวัย กลุ่มนี้จะเน้นความปลอดภัยและคุณภาพ ชอบใช้บริการในโรงพยาบาลเป็นหลัก และเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กลุ่มสุดท้ายอีก 20% คือ Gen Z นิยมทำหัตถการเล็ก ๆ เช่น ทำจมูก ทำตา ซึ่งกลยุทธ์ของ KPS จะเน้นไปที่เคสผ่าตัดขนาดใหญ่ ใช้มาตรฐานและความปลอดภัยสูงของโรงพยาบาล ได้แก่ 1. การตัดกระเพาะ 2. แก้ไขหน้าอก/ยกกระชับหน้าอก และ 3. ดึงหน้า
“เราตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 ประมาณ 500 - 600 ล้านบาท งบลงทุนในปีถัดไป (รวมบุคลากรและการตลาด) ประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมด และจะใช้การตลาดแบบ UGC (User-Generated Content) หรือรีวิวจากผู้รับบริการจริง เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ค่อยเชื่อถือการรีวิวจาก Influencer เหมือนในอดีต พร้อมวางแผนเปิดศูนย์ศัลยกรรมในโรงพยาบาล BCH ที่จะขยายเพิ่ม คาดว่าจะเห็นที่สุวรรณภูมิและพัทยา ภายใน 2 ปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจศัลยกรรมในปี 2569 ยังจะเติบโต และหากสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศไทยมีความมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจฟื้นตัว ไม่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ จะทำให้คนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นรวมถึงการที่รัฐบาลสนับสนุน Medical Tourism (การแพทย์เชิงท่องเที่ยว) ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าต่างชาติ ทั้งหมดนี้จะปัจจัยส่งเสริมการเติบโตของตลาดศัลยกรรมไทยอย่างชัดเจน