KEY
POINTS
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า MASTER ยังคงวางเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงาม แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่บริษัทยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์และปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ที่เกิดจากปัญหาบุคลากรภายใน เพื่อรับมือกับภาวะตลาดที่เป็น Red Ocean
โดยสถานการณ์ช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนลูกค้าของ MASTER ไม่ได้ลดลง แต่ Average Price per Visit กลับปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง ทำให้คาดการณ์ไตรมาส 4 ปี 2568 ในภาพรวมของผลประกอบการค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 3 หรืออาจเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่สถานการณ์ของลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฐานลูกค้าจากกัมพูชา ถือว่าได้รับผลกระทบจากเรื่องความขัดแย้ง มูลค่ารายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นศูนย์ และคาดการณ์ว่าจะยังไม่กลับมาจนถึงกลางปี 2569
“เราเผชิญปัญหาหลายอย่าง ทำให้บริษัทต้องปรับปรุงระบบหลังบ้านอย่างเร่งด่วน รวมถึงเรื่องฟ้องร้องต่างๆ ที่บริษัทได้ดำเนินการทางกฎหมาย คาดว่าคดีจะสามารถสรุปผลได้บางส่วนภายใน 1 ปี ดังนั้น กลยุทธ์ในปี 2569 บริษัทจึงวางแผนการเติบโตไว้เพียงหลักเดียว (Single-digit growth) โดยจะเริ่มพึ่งพิงตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น”
นางสาวลภัสรดา กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการเติบโตของ GDP ไทยยังต่ำเพียง 1-2% การพึ่งพาต่างประเทศ เช่น ตลาดหลักของ MASTER อย่างอินโดนีเซียที่มี GDP เติบโตสูงถึง 5-6% จึงเป็นแนวทางที่ดี พร้อมวางกลยุทธ์ประกาศตัวเป็น "Regional Comp" ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติ 40% และคงสัดส่วนลูกค้าไทยไว้ 60% จากเดิมสัดส่วนต่างชาติประมาณ 30% คนไทย 70%
“สังเกตได้ว่าลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนอินโดนีเซีย ใช้จ่ายสำหรับทำศัลยกรรมต่อครั้งเฉลี่ย 2 แสนบาทขึ้นไป สูงกว่าลูกค้าคนไทย ที่เฉลี่ยนประมาณ 1 แสนบาทต่อเคส ขณะที่ตลาดความงามในประเทศก็เข้าสู่ภาวะ Red Ocean ที่แข่งขันด้านราคาสูงมาก แม้กระทั้งหัตถการเสริมหน้าอกที่เคยมีราคาต่ำสุด 5-6 หมื่นบาท ปัจจุบันราคาลงลงมาถึง 3-4 หมื่นบาท ล่าสุดต่ำจนถึงต้นทุนเกิน 80% แล้ว”
ดังนั้น MASTER จึงจะใช้กลยุทธ์แบ่งกลุ่มแพทย์เป็น "แพทย์พรีเมียม" (ไม่ลดราคา) และ "ทีมแพทย์" (ใช้ในการแข่งขันราคา) เพื่อดึงลูกค้า ส่วนจุดแข็งด้านการตลาดคือการใช้คอนเทนต์จากโซเชียลมีเดียเป็นหลักถึง 98%, เน้นความน่าเชื่อถือของแพทย์จริง, และใช้ Bloggers แทนการจ้าง Influencers ซึ่งทุกคนต้องทำจริงเป็นลูกค้าจริง พร้อมปรับแผนธุรกิจเชิงรุก โดยเน้น 3 แกนสำคัญ ได้แก่
1. การบริหารต้นทุนและโครงสร้างราคาที่เหมาะสม เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่แข็งแรง แม้อยู่ภายใต้ภาวะการแข่งขันดุเดือด
2. การขยายฐานลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูง และต้องการศัลยกรรมเฉพาะทาง เช่น อินโดนีเซีย เมียนมา และลาว พร้อมตั้งเป้ารายได้ต่างชาติแตะระดับ 30% ของรายได้รวมภายใน 2 ปี
3. การพัฒนา Product Mix และเพิ่มสัดส่วนบริการเฉพาะทางที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจโรงพยาบาลศัลยกรรม และธุรกิจเสริมอาหารเพื่อความงาม
นอกจากนี้ ยังต้องป้องกันระบบภายในให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการป้องกันการประกอบธุรกิจค้าแข่ง โดยประเมินว่าในปี 2569 อุตสาหกรรมศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะยังเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ตามประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดว่า ตลาดจะเติบโตเพียง 1.0% เทียบกับ 1.6% ในปี 2568 แม้จำนวนผู้ใช้บริการและอัตราค่าบริการจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันก็เข้มข้นเช่นกัน
ส่วนเทรนด์ศัลยกรรมในปีหน้ายังคงเน้นที่ใบหน้าเป็นหลัก (จมูก, ยกคิ้ว, ดึงหน้า, ดึงคอ) แต่ที่เติบโตมาแรงคือ กลุ่มปลูกผม (Hair) และสุขภาพชาย ซึ่งอัตราการเติบโตสูงถึง 20% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนอกจากนี้ สัดส่วนลูกค้าที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7% จากเดิมเพียง 3-4%
อย่างไรก็ตาม ตลาดความงามในภูมิภาคยังคงถูกมองว่ามีศักยภาพสูง และบริษัทฯ ก็มีจุดแข็งด้านคุณภาพการให้บริการ ทำให้คาดว่าแนวโน้มครึ่งปีแรกของปี 2569 จะมีทิศทางที่เติบโตอย่างชัดเจนตั้งแต่ ไตรมาส 1 ปี 2569 เป็นต้นไป หลังจากการจัดการและปรับปรุงระบบหลังบ้านเสร็จสิ้น