KEY
POINTS
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ความงาม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาพลักษณ์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทย ความคิดที่ว่า “สวยต้องทันใจ” หรือ “รอไม่ได้” ทำให้การดูแลผิวพ่วงมากับความคาดหวังเรื่องความเร็ว สิวยุบไว แผลต้องหายก่อนถึงวันสำคัญ ผิวต้องฟื้นในเวลาอันสั้น วัฒนธรรมความงามแบบเร่งด่วนนี้กำลังขยายตัวควบคู่กับอุตสาหกรรมเสริมความงามอย่างรวดเร็ว
แต่เบื้องหลังความเร็วเหล่านั้น กำลังสะสมต้นทุนด้านสุขภาพที่สังคมแทบไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นคือการใช้ยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ จนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการกินยาเมื่อสิวอักเสบ การทายาฆ่าเชื้อซ้ำ ๆ หรือการใช้ยาปฏิชีวนะ “เผื่อไว้” หลังทำหัตถการ ทั้งที่หลายกรณีไม่จำเป็นต้องใช้
ผลลัพธ์ที่ตามมา คือโรคผิวหนังที่เคยรักษาง่าย กลับต้องใช้เวลานานขึ้น แผลติดเชื้อเล็ก ๆ กลายเป็นแผลที่รักษายากขึ้น ไม่ใช่เพราะโรครุนแรงกว่าเดิม แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้และปรับตัวจากการใช้ยาที่เกินความจำเป็น ภาวะนี้ถูกเรียกว่า “การดื้อยาต้านจุลชีพ” หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) ซึ่งทำให้ยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ได้ผล กลับไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้อีกต่อไป
AMR ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่หรือวิกฤตเฉียบพลัน หากแต่ค่อย ๆ ก่อตัวจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การใช้ยาไม่ครบระยะ ใช้ซ้ำ ๆ ใช้ในขนาดต่ำ หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารฆ่าเชื้อโดยเชื่อว่าจะ “ปลอดภัยกว่า” โดยไม่รู้ว่ากำลังเปิดพื้นที่ให้เชื้อแบคทีเรียแข็งแรงขึ้นอย่างเงียบ ๆ
วงการเสริมความงามกำลังถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงใหม่ของปัญหาเชื้อดื้อยา จากการผสมกันของสองปัจจัยสำคัญ คือความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการใช้ยา และค่านิยมความงามที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว
นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีหลายกลไกซ้อนกัน หนึ่งในนั้นคือการมองว่ายาปฏิชีวนะเป็น “ทางลัด” ของการรักษา เมื่อเกิดสิวอักเสบก็กินยาตัวเดิมทุกครั้ง ใช้ทั้งกิน ทา หรือฉีด แม้ในกรณีที่ไม่จำเป็น บางรายใช้ยาไม่ครบระยะหรือใช้ซ้ำ ๆ ขณะที่การใช้ยาฆ่าเชื้อหลังทำหัตถการก็กลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่แผลส่วนใหญ่เป็นแผลสะอาดและสามารถดูแลได้โดยไม่ต้องใช้ยาเหล่านี้
พฤติกรรมเหล่านี้อาจเกิดจากความหวังดีต่อตัวเองหรือผู้รับบริการ แต่ในภาพรวมของสังคมกลับเป็นแรงผลักที่เร่งให้เชื้อแบคทีเรียถูกคัดเลือกให้แข็งแรงขึ้น องค์การอนามัยโลกเตือนว่า การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเพื่อการรักษาหรือความงาม กำลังผลักโลกเข้าใกล้ยุคที่การติดเชื้อธรรมดาอาจกลับมารักษายากอีกครั้ง
ในทางผิวหนัง ผลของเชื้อดื้อยาไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาที่ช้าลง แต่ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ด้านความงาม การติดเชื้อหลังหัตถการ เช่น ฝี หรือการติดเชื้อตามแนวแผล อาจไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไป ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็น หรือทิ้งรอยถาวรไว้บนผิว
ในหัตถการที่ทำลึกหรือมีวัสดุแทรก เช่น ฟิลเลอร์หรือ biostimulator หากมีเชื้อดื้อยาแฝงอยู่ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มขึ้น บางรายจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หรือถึงขั้นต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหา
การรักษาสิวก็เผชิญปัญหาเดียวกัน เชื้อ Cutibacterium acnes ในหลายพื้นที่เริ่มแสดงการดื้อยา ทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ ไม่เพียงไม่คุ้มค่า แต่ยังเร่งการดื้อยาให้รุนแรงขึ้น เมื่อการใช้ยาปฏิชีวนะในคลินิกความงามแพร่หลายเกินไป ผลกระทบจึงไม่หยุดแค่ผู้ป่วยรายเดียว แต่สามารถแพร่กระจายสู่ชุมชน และย้อนกลับมาสร้างภาระให้ระบบสาธารณสุขในวงกว้าง
ในมุมมองทางการแพทย์ อาการทางผิวหนังจำนวนมากไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ สิวทั่วไป ผิวระคายเคืองหลังหัตถการ หรือผื่นแพ้ สามารถดูแลได้ด้วยแนวทางที่ปลอดภัยกว่าและยั่งยืนกว่า การรักษาที่ดีจึงไม่ใช่การเร่งผลลัพธ์ให้เร็วที่สุด แต่คือการพาผิวกลับสู่สมดุล เคารพระบบจุลินทรีย์ดีบนผิว และให้เวลาร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม
ความรู้และความเข้าใจเรื่องการใช้ยา หรือ Health Literacy จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของความงามยุคใหม่ เมื่อผู้บริโภครู้เท่าทันยา กล้าตั้งคำถามกับแพทย์และเภสัชกร และเลือกการรักษาด้วยเหตุผล ความงามจะไม่ใช่การวิ่งตามกระแส แต่เป็นการตัดสินใจที่คำนึงถึงทั้งตัวเองและสังคม
เพราะในท้ายที่สุด ปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ของทุกคน และความงามที่ยั่งยืน ก็ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยต้นทุนสุขภาพที่สูงเกินไป