KEY
POINTS
นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) ต่อโรงพยาบาลเอกชนจากจำนวนที่มีอยู่กว่า 400 แห่ง ปัจจุบันยังรับระบบ สปสช. เหลืออยู่เพียง 10 แห่งเท่านั้น และถูกค้างชำระหนี้ทุกโรงพยาบาล ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยและขนาดของแต่ละโรงพยาบาล
“จากข้อมูลที่ได้มาในสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ตอนนี้ มีโรงพยาบาลที่ร่วมอยู่ในระบบ 10 แห่ง แต่ข่าวเมื่อเร็วๆนี้ ในกรณีโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะประกาศถอนตัวเพราะรับผู้ป่วยจำนวนมากและถูกค้างชำระเยอะ จะทำให้เหลือโรงพยาบาลเอกชนในระบบนี้เพียง 9 แห่ง
ก่อนหน้านี้ก็มีโรงพยาบาลใหญ่ที่ประกาศถอนตัวไปแล้วเช่นกัน เพราะทนแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขนาดโรงพยาบาลรัฐยังประสบปัญหาเดียวกัน แต่ผลกระทบจากการถอนตัวของโรงพยาบาลเอกชนจะทำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนไปใช้บริการของโรงพยาบาลรัฐมากขึ้นอีก ซึ่งโชคดีที่ยังมีเงินภาษีมาจุนเจือค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้”
ปัญหานี้ในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนที่ถอนตัว อาจมองได้อีกแง่มุมคือ ไม่อยากยุ่งยากกับระบบ สปสช. เพราะมีหลายกรณีที่ สปสช. ตรวจสอบย้อนหลังและหากไม่มีบันทึกสมบูรณ์จะถือว่าทุจริตหรือเบิกจ่ายไม่ถูกต้อง เช่น การตรวจเวชระเบียน ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนจะแตกต่างจากโครงสร้างของโรงพยาบาลรัฐที่ใช้งบประมาณจากภาษี
นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ในอดีตระบบสุขภาพของไทยทุกคนต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาด้วยตัวเอง หากผู้ป่วยรายได้น้อยหรือไม่มีเงิน จะมีกองทุนสงเคราะห์และเงินจากหน่วยงาน สปน. เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเข้ามาช่วยเหลือ แต่ปัจจุบันหน่วยงานหลักคือ สปสช.แม้จะพยายามกระจายงบประมาณให้ประชาชนได้รับสิทธิเท่าเทียมกันแต่ก็ยังไม่พอ บางครั้งคนมีฐานะและมีกำลังจ่ายเองได้ยังใช้สิทธิ์ในระบบ สปสช.
ทำให้สถิติจำนวนประชากรไทยประมาณ 66 ล้านคนในปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิ์ระบบ สปสช. สูงถึงมี 48 ล้านคน ขณะที่ผู้ที่ใช้สิทธิ์ประกันสังคมมีเพียง 13 ล้านคน ที่เหลือเป็นข้าราชการกับรัฐวิสาหกิจ หากมองถึงระบบโครงสร้างประชากร บางรายก็ใช้สิทธิ์โดยไม่เหมาะสม ทำให้งบประมาณไม่พอ
ยกตัวอย่าง ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับระบบของไต้หวันที่มีลักษณะที่คล้ายกัน ประชากรของไต้หวันใช้ค่ารักษาพยาบาลของภาครัฐเฉพาะในกลุ่มเด็กและคนชรา ครอบคลุมเพียง 1.6% ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 1 ล้านคน ที่เหลือคือการพึ่งพาตัวเอง โดยเฉพาะคนในวัยทำงานที่ต้องพยายามมีงานทำ ขณะที่ประเทศไทยยังคงใช้ระบบนี้แบบนโยบายประชานิยม ซึ่งจะได้ผลในช่วงระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจไปต่อไม่ไหว
โดยต้นแบบเรื่องนี้อย่างประเทศอังกฤษ รัฐบาลก็ยกเลิกระบบเดิมและใช้เงินบริหารจัดการเรื่องสุขภาพเพียง 10% จัดสรรค์งบประมาณให้โรงพยาบาลต่าง ๆ โดยตรง แล้วให้โรงพยาบาลไปบริหารจัดการตัวเอง ส่วนประเทศไทยยังไม่สามารถตอบได้ว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต